นายกฯ ร่ายยาวแจงจัดซื้ออาวุธกองทัพ-เรือดำน้ำ ยันใช้งบประมาณยึดประโยชน์ชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในประเด็นเกี่ยวกับกระทรวงกลาโหมถึงการจัดซื้ออาวุธกล้องเพื่อใช้ในภารกิจของหน่วยรบจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะประสิทธิภาพสูง เพื่อความปลอดภัยสำหรับภารกิจในสถานการณ์ที่อันตรายสูงสุด ส่วนการปฏิรูปกองทัพกำหนดให้มีการพัฒนาสอดคล้องกับการบริหารความมั่นคงรูปแบบใหม่ การรักษาความสงบเรียยบร้อยในภูมิภาค และเพื่อประสิทธิภาพในการพร้อมรบเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ

นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงความจำเป็นต้องจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่าเป็นการสร้างความมั่นใจว่าไทยมีศักยภาพที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ ไทยไม่เคยมีอุปกรณ์สำรวจท้องทะเลลึก ดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลของไทย ดูแลเรื่องโรฮิงญา อีกทั้งมีเหตุการณ์ที่บางประเทศลักลอบเข้ามาในน่านน้ำไทยในทางลับ ทั้งนี้การจัดซื้อเรือดำน้ำต้องรออีก 6 ปี กว่าจะได้เรือ และต้องส่งกำลังพลไปเรียนรู้ ยืนยันป็นการทำเพื่อคนไทยทุกคน ทั้งนี้เป็นการจัดซื้อด้วยงบฯที่ถูกลง คุ้มค่ามากที่สุด และในอาเซียนรวมแล้วมีประเทศต่างๆมีเรือดำน้ำแล้วจำนวน 18 ลำ แม้ว่าในอดีตไทยเคยมีเรือดำน้ำ แต่ปลดประจำการไปแล้วตั้งแต่ปี 2494 ดังนั้นเป็นเวลา 69 ปีแล้วที่กองทัพเรือไทยไม่มีเรือดำน้ำประจำการ

“เมื่อเทียบผลประโยชน์ทางทะเล ที่มีมูลค่า 24 ล้านล้านบาท แต่ราคาที่ได้ลงทุนไปคิดเป็น 0.093% เท่านั้น ถือว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและตอบสนองยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง หลายท่านบอกว่าจะไปซื้อมาทำไม อาวุธก็ไม่ต้องมี ทหารก็ไม่ต้องมี คิดอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าคิดแบบนี้ เราจะอยู่กันอย่างไรในวันข้างหน้า อนาคตเราก็ไม่รู้ ยามศึกเรารบ ยามสงบเราก็ต้องเตรียมพร้อม หลักการสำคัญมีแค่นี้ พร้อมทั้งขวัญกำลังใจคน เครื่องไม้เครื่องมือ วันนี้ความรุนแรงของอาวุธต่างๆก็เกิดขึ้น เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ถ้าไม่พัฒนาตัวเอง ไม่ปรับปรุงตัวเอง ก็อยู่ไม่ได้ ชีวิตทุกคนมีความเสี่ยงทั้งหมด แล้วท่านจะรู้ว่า ถ้าไปเผชิญสถานการณ์การสู้รบจริงๆ เป็นอย่างไร ท่ามกลางกระสุนปืนใหญ่ รถถัง M79 ผมถึงเห็นใจเขาไง เห็นใจลูกหลานของท่านบ้าง เขาตายไปจะทำอย่างไร”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ส่วนเรื่องกิจการเหมืองหินสัมปทานของกองทัพเรือที่มีการต่อสัญญาให้ผู้ประกอบการแม้จะมีการทำผิดสัญญา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สัญญาที่ทำไว้มีระยะเวลา 5 ปี โดยจะต่อสัญญาในลักษณะปีต่อปี พร้อมทั้งระบุเงื่อนไขต่างๆไว้ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการไม่สามารถผลิตหินได้ตามสัญญา จึงมีมูลค่าขาดประโยชน์ 40 ล้านบาท และผู้ประกอบการขอผ่อนชำระ รวมทั้งเพิ่มกำลังการผลิตเต็มประสิทธิภาพมาตลอด มีการปรับปรุงเหมืองให้เป็นไปตามระเบียบ เมื่อได้พิจารณาในภาพรวม จะเห็นว่าการทำสัญญาในปีที่สองกับผู้ประกอบการทำให้กองทัพเรือได้ประโยชน์สูงสุด

กรณีที่นายพิจารณ์ เชาวน์มีพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาโจมตีว่า ทางกองทัพใช้งบประมาณในการจัดซื้อเครื่องแต่งกายของทหารแพงเกินจริง เมื่อเทียบกับการซื้อในเว็บออนไลน์ทั่วไป นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การจัดซื้อถูกต้องตามกฎหมาย การดำเนินการของกองทัพ ด้วยวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีราคากลางที่จะเป็นตัววัด อีกทั้งจะต้องดูคุณภาพ ศึกษาประสิทธิภาพของสินค้า รวมถึงประสิทธิภาพการผลิตของผู้ขาย ซึ่งต่างจากการซื้อสินค้าออนไลน์ นอกจากนี้ ร้านค้าต้องเสียภาษีให้กับรัฐด้วย อีกทั้งกำหนดวงเงินค่าปรับ หากทำตามสัญญาไม่ได้ จึงทำให้ต้นทุนในการผลิตและราคาสูงกว่าสินค้าออนไลน์

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง ขออย่ากล่าวอ้างว่าได้รับผลประโยชน์จากตรงนี้ และยืนยันไม่รับเงินที่ไม่สุจริต เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการใช้งบประมาณว่า รัฐบาลต้องดูแลหนี้สาธารณะ เงินกู้ต่างๆ รวมถึงต้องจ่ายผลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐชดเชยไปแล้วกว่า 7 แสน 5 พันล้านบาท เหลือหนี้จำนำข้าวอีก กว่า 2 แสน 8 หมื่นล้านบาท และต้องตั้งงบฯชดใช้ไปอีก 12 ปี นอกจากนี้ยังมีภาระหนี้จากโครงการบ้านเอื้ออาทร อีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท รัฐบาลจึงต้องการชี้แจงให้ทราบว่าได้ดำเนินการอะไรอยู่บ้าง และพยายามทำอย่างเต็มที่ในทุกประเด็นที่ฝ่ายค้านอภิปรายมา

รัฐบาลไม่ต้องการรีดภาษีจากใคร และไม่ปรับขึ้นภาษี แม้ว่าช่วงนี้รายได้ประเทศลดลง โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีการให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่ทั่วถึง แต่วันนี้เป็นการช่วยเหลือเพื่อให้ประชาชนดำรงชีพอยู่ได้ และที่ให้ไปเพื่อไปใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนการใช้เงินในระบบ เกิดมูลค่าเพิ่มการใช้จ่ายในระดับฐานราก วันนี้ทุกคนต้องอยู่อย่างพอเพียง และรัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนการลงทุนให้มีศักยภาพ โดยต้องการฟังคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ และไม่ผิดหลักการ ไม่ผิดกฎหมายและข้อบังคับ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ใช้เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนจากโควิด-19 ให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มเกษตร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ แรงงานในระบบประกันสังคม กลุ่มเปราะบาง รวมกว่า 5.7 แสนล้านบาท และวันนี้ได้มีโครงการ “เราชนะ” ซึ่งอาจจะติดขัดเรื่องการใช้งบฯบ้าง จึงต้องทยอยการดำเนินการออกมา มั่นใจว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ดี แม้จะมีคนบางกลุ่มเข้าไม่ถึง ก็ได้เร่งแก้ปัญหา และได้ติดตามปัญหาโดยตลอด

ส่วนงบฯที่ใช้เรื่องวัคซีนโควิด-19 รัฐบาลได้เตรียมไว้แล้ว มีอย่างเพียงพอและทยอยนำเข้ามา โดยคำนึงถึงความปลอดภัย และอยู่ในความควบคุมของรัฐ ส่วนถ้าสมาชิกคนใดไม่ต้องการฉีดวัคซีนก็ให้ส่งรายชื่อมา และขออย่าไปอยู่ในการชุมนุมทำให้เกิดการแพร่ระบาดอีก

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ชอบตนไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ชอบประเทศนั้น ไม่ควร เพราะประชาชนก็คือประชาชนของเรา ที่ต่างฝ่ายต่างรักทั้งคู่ คำว่ารักประชาชนต้องไม่เลือกว่าใครเป็นใคร กฎหมายเป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้ว ให้ทุกคนอยู่อย่างเป็นปกติในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแบบไหนก็ตาม ต้องมีกฎหมาย นั่นคือทำให้สังคมสงบเรียบร้อย

“อันศึกนอกศึกไกลผมไม่ห่วง แต่หวั่งทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง หากคนไทยหันมาฆ่ากันเอง เราจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

โดยทันทีที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงครั้งแรกจบ ได้วางเอกสารและลุกขึ้นออกไปนอกห้องประชุมทันที

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.พ. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top