“แอดเทค ฮับ”คาดขาย IPO เข้าเทรด mai กลางปี 64 ระดมทุนพัฒนาระบบสนับสนุนงานดิจิทัล

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.แอดเทค ฮับ (ADD) เปิดเผยว่า ADD เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในช่วงกลางปีนี้

วัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจการพัฒนาระบบสนับสนุนดิจิทัลคอนเทนต์และดิจิทัลโซลูชั่น อาทิ การให้บริการระบบที่หลากหลายรูปแบบมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มจำนวนพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ เพื่อรองรับขอบเขตการให้บริการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเพื่อขยายการรองรับจำนวนคู่ค้าทางการตลาดให้สอดคล้องกับผู้สมัครรับบริการดิจิทัลคอนเทนต์กับโอเปอเรเตอร์ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นในอนาคต

ADD โดดเด่นในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับบริษัทโทรคมนาคม โดยสนับสนุนการให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) กว่า 15 ปี ทำให้บริษัทสามารถตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี และสามารถเพิ่มช่องทางการขยายการให้บริการเพื่อต่อยอดไปยังรูปแบบต่างๆ อาทิ การพัฒนาระบบความปลอดภัย, การพัฒนาระบบชำระเงิน และการพัฒนาระบบบริหารจัดการรายการสั่งซื้อสินค้าและบริการ เป็นต้น

บริษัทความสามารถในการให้บริการครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อาทิ ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ต่อเนื่องไปยังการพัฒนาระบบ และต่อยอดไปในส่วนของการดูแลบำรุงรักษาระบบให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งบริษัทยังมีความพร้อมทั้งบุคลากรนักพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งสะท้อนมายังผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (ปี 61-63) บริษัทมีรายได้จากการให้บริการเท่ากับ 289.48 ล้านบาท 302.04 ล้านบาท และ 345.53 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 29.29 ล้านบาท 39.50 ล้านบาท และ 72.37 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากบริการระบบสนับสนุนการให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ประมาณ 83-95% ของรายได้รวม รองลงมาเป็นรายได้จากบริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ประมาณ 4-17% ของรายได้รวม และมีรายได้จากบริการสื่อและโฆษณาออนไลน์น้อยกว่า 2% ของรายได้รวม

ด้านนายชวัล บุญประกอบศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ADD เปิดเผยว่า บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการระบบสนับสนุนการให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบ่งการให้บริการออกเป็น

1. ให้บริการสนับสนุนดิจิทัลคอนเทนต์ (Digital Content Support)

2.ให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Digital Solution) และ

3. ให้บริการสื่อและโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ (Online Advertising)

ในขณะเดียวกัน บริษัทได้เพิ่มบริการพัฒนาระบบชำระเงินค่าบริการหรือสินค้าผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Carrier Billing) เข้ามาเป็นหนึ่งในช่องทางการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อให้ผู้ใช้โทรศัพท์สามารถชำระเงินค่าบริการผ่านระบบ Carrier Billing โดยไม่ต้องใช้เงินสดหรือบัตรเครดิต ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้โทรศัพท์ โดยการชำระเงินผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถใช้งานได้ทั้งแบบเติมเงิน (Prepaid) และแบบรายเดือน (Postpaid) ซึ่งบริษัทฯจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากรายการที่ผ่านระบบของบริษัท ซึ่งในไตรมาสแรกปี 2564 ระบบ Carrier Billing ได้รองรับการซื้อเหรียญดิจิทัลในแอปพลิเคชัน ซึ่งเหรียญดิจิทัลดังกล่าวสามารถนำไปซื้อสินค้าดิจิทัลในแอปพลิเคชันได้หลากหลายประเภท อาทิ เพลงรอสาย ภาพพื้นหลัง สติ๊กเกอร์ สัญลักษณ์แสดงอารมณ์ (Emoji) เป็นต้น

” ADD มีบุคลากรที่มีศักยภาพและความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Software Development) ที่มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับฝ่ายพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในธุรกิจโทรคมนาคมมานานกว่า 20 ปี ซึ่งจากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญดังกล่าว สามารถการันตีถึงความแข็งแกร่งและการเติบโตของบริษัทสู่การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาระบบสนับสนุนดิจิทัลแพลตฟอร์มทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอนาคต “นายชวัล กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 เม.ย. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top