วิจัยกสิกรฯ คาดราคาปาล์มน้ำมัน Q2/65 ลดมาที่ 4.5-6.5 บาทตามปัจจัยฤดูกาล-ปรับสูตรไบโอดีเซล

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ราคาปาล์มน้ำมันของไทยในไตรมาส 2/65 น่าจะปรับลดลงมาอยู่ในกรอบราว 4.5-6.5 บาท/กก. ตามปัจจัยด้านฤดูกาลที่ไทยจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด ขณะที่ในฝั่งอุปสงค์ยังคงมีความไม่แน่นอนจากการเลือกใช้สูตรไบโอดีเซล (B5/B7/B10/B20) ของภาครัฐที่ยังขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ทั้งนี้คาดว่าราคาปาล์มน้ำมันเฉลี่ยน่าจะยังคงสูงกว่าราคาประกันที่ 4 บาท/กก. โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • กรณีที่ 1 ปรับสูตรไบโอดีเซล B5 โดยเปลี่ยนกลับไปใช้สูตรเดิม (B7/B10/B20) หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสามารถปรับลดลงมาได้ต่ำกว่าในปัจจุบันที่ราคาเข้าใกล้ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะเป็นช่วงจังหวะเวลาที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดจำนวนมากพอดี ทำให้ในกรณีนี้ แม้ราคาปาล์มในประเทศจะได้รับอิทธิพลจากราคาน้ำมันปาล์มดิบและราคาน้ำมันตลาดโลกที่ย่อลง แต่ความต้องการใช้ปาล์มจากสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลที่ขยับขึ้น จะช่วยประคองให้ราคาปาล์มในประเทศไม่ลดลงแรงโดยเฉลี่ยอาจจะอยู่ที่ราว 6.5 บาทต่อกิโลกรัม
  • กรณีที่ 2 คงสูตรไบโอดีเซลไว้ที่ B5 ต่อไป หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องหรือเร่งตัวขึ้นอีก ผนวกกับเป็นช่วงที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันออกสู่ตลาดจำนวนมาก ในกรณีนี้แม้จะมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันปาล์มดิบและราคาน้ำมันตลาดโลก แต่การลดลงของความต้องการใช้ปาล์มเพื่อพลังงานที่ขยายเวลาออกไปในจังหวะที่อุปทานมากขึ้น อาจกดดันให้ราคาปาล์มในประเทศลดลงมามากกว่ากรณีแรก โดยคาดว่า ราคาปาล์มน้ำมันเฉลี่ยอาจลดลงไปอยู่ที่ราว 4.5 บาทต่อกิโลกรัม

“เบื้องต้นประเมินว่า จากการปรับไปใช้สูตร B5 ทดแทน B7 อาจทำให้มีปริมาณปาล์มน้ำมันสำหรับผลิตไบโอดีเซลหายไปจากระบบในช่วงไตรมาส 1/65 ที่ราว 0.32 ล้านตันปาล์มน้ำมันหรือคิดเป็นราว 2% ของปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันไทยทั้งปี ซึ่งแม้จะเป็นปริมาณที่ไม่มาก แต่เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันในประเทศกำลังทยอยออกสู่ตลาด จึงมีผลให้ราคาปาล์มน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง”

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ระบุ

ขณะที่ในไตรมาส 1/65 มองว่า ราคาปาล์มน้ำมันน่าจะสามารถประคองตัวในระดับสูงในกรอบ 7.5-9.5 บาท/กก. สอดคล้องไปกับราคาน้ำมันปาล์มดิบและราคาพลังงานโลกที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่การปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลเหลือ B5 เพื่อดูแลราคาน้ำมันในประเทศช่วง ก.พ.-มี.ค. กระทบความต้องการใช้ปาล์มราว 3.2 แสนตัน และมีผลให้ราคาปาล์มในประเทศย่อลงจากระดับสูงสุดในเดือนม.ค.65 ที่ 10.3 บาท/กก.

ส่วนราคาปาล์มน้ำมันเฉลี่ยทั้งปี น่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ราว 5.3-7.3 บาท/กก. ตามปัจจัยด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้นในประเทศผู้ผลิตสำคัญอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย จากแนวโน้มสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหา Supply Disruption ที่ดีขึ้น (ปัญหาขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยว)

ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มอาจเติบโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปตาม Pent Up Demand ที่คลี่คลายมากขึ้น ทำให้ภาพรวมราคาปาล์มน้ำมันเฉลี่ยปี 65 จะยังสามารถประคองตัวได้บนฐานที่สูงเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (ปี 60-64) ที่ราว 4.2 บาท/กก.

ในปี 64 ที่ผ่านมาราคาปาล์มน้ำมันของไทยได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำสถิติใหม่หลายครั้ง จนมีราคาเฉลี่ยทั้งปีที่ 6.7 บาท/กก. (ราคาเฉลี่ยปี 59-63 อยู่ที่ 4 บาท/กก.) ต่อเนื่องจนถึงในเดือนม.ค. 65 ที่ราคาได้พุ่งสูงไปแตะระดับเฉลี่ยที่ 10.3 บาท/กก. นับเป็นราคาสูงที่สุดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตลาดปาล์มน้ำมันของไทยในรอบหลายสิบปี สอดคล้องไปกับราคาน้ำมันปาล์มดิบและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงเช่นกัน เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนอุปทานปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะในมาเลเซียที่ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวและมีผลผลิตน้อย ในช่วงที่มีความต้องการใช้ในหลายประเทศที่กำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ท่ามกลางภาวะที่ราคาพลังงานในตลาดโลกก็ยังอยู่ในระดับสูงเช่นกัน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในปี 65 ราคาปาล์มน้ำมันจะยังสามารถยืนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ปัจจัยเสี่ยงหลักที่เกษตรกรต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะในฝั่งของอุปทานคือ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งราคาค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงและวัชพืช รวมถึงการที่เกษตรกรบางส่วนหันไปปลูกพืชเกษตรอื่นที่มีราคาสูงกว่าอย่างยางพาราและทุเรียน ล้วนส่งผลต่อแรงจูงใจในการเลือกตัดสินใจปลูกปาล์มน้ำมันในระยะยาว

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในระยะกลาง-ยาว ด้วยกระแสรักสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลก จะทำให้ปาล์มน้ำมันไทยได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้พืชปาล์มน้ำมันอาจให้ภาพที่ไม่สดใสนักและอาจต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว และรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จากมาตรการ Zero Palm Oil ของกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) เนื่องจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม

รวมไปถึงกระแสการต่อต้านการใช้น้ำมันปาล์มในอาหารของ EU จากกระแสรักสุขภาพของผู้บริโภค จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ให้สินค้าอุปโภคบริโภคใน EU ต้องติดฉลาก No Palm Oil จึงนับเป็นจุดเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคน้ำมันปาล์มครั้งสำคัญ และกระจายเป็นวงกว้างจนเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคในระดับโลก โดยเฉพาะในตลาดเฉพาะกลุ่มของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ กระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็อาจยิ่งกระทบต่อความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันด้วยเช่นกัน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มโลกในระยะยาว ทำให้ภาพของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกระยะข้างหน้า อาจมีความเป็นไปได้ที่จะไม่สามารถกลับไปอยู่ในระดับที่สูงดังเช่นในปัจจุบัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.พ. 65)

Tags: , , ,
Back to Top