รมว.คลัง ชี้แม้เงินเฟ้อกดดัน แต่ยังหวังส่งออกช่วยขับเคลื่อนศก.ไทยปีนี้

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “รวมพลังก้าวข้ามวิกฤติ เดินหน้าเศรษฐกิจไทย” ว่า ประเทศไทยมีปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเผชิญ 2 เรื่องสำคัญ คือ ปัญหาราคาพลังงานและอาหารสดที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปเกิน 5% จากปกติอยู่ในระดับไม่เกิน 1% ซึ่งราคาพลังงานในรอบนี้เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากอดีต เป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาพลังงาน โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นแบบเฉพาะกลุ่ม หรือแบบเป็นการทั่วไป

สำหรับการพยุงราคาน้ำมันดีเซลนั้น กระทรวงพลังงานชี้แจงว่าจากสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งสูงกว่าคาดการณ์ค่อนข้างมาก จึงจำเป็นที่จะต้องขยายเพดานการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจาก 30 บาทต่อลิตรขึ้นไปตามสถานการณ์ แต่ทั้งนี้ รัฐบาลก็ยังคงหลักการในการเข้าไปสนับสนุนราคาคนละครึ่ง เช่น หากราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นจากราคาเพดาน 1 บาท/ลิตร กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะเข้าไปช่วยเหลือ 50 สตางค์/ลิตร ส่วนอีก 50 สตางค์/ลิตรนั้น เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องแบกรับ

รมว.คลัง ยังกล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายว่า รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดประเทศ ตั้งแต่เดือน พ.ย.64 และการยกเลิกมาตรการ Test & Go ในเดือน พ.ค.65 ส่งผลดีกับภาคการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย. 65) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 7 แสนคน ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ คาดการณ์ว่าปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยถึง 2 ล้านคน

ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจในแถบชายแดนก็คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น หลังจากมีการเปิดด่านการค้าชายแดน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ พื้นที่ชายแดนกลับมาคึกคักมากขึ้น ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น

นายอาคม มองว่า ภาคการส่งออกยังถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยปีนี้ โดยในปี 2564 มูลค่าการส่งออกของไทยเติบโตได้เกือบ 20% ขณะที่ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.65) มูลค่าการส่งออกอยู่ในระดับน่าพอใจที่ 15% ดังนั้นจึงถือว่าภาคการส่งออกยังสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีในปี 2565

นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐผ่านงบประมาณแผ่นดิน และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ยังคงเดินหน้าตามปกติ โดยรัฐบาลได้เร่งรัดให้หน่วยงานต่าง ๆ เบิกจ่ายงบประมาณตามที่ได้รับจัดสรรตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2565 โดยเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ ยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงนี้ รวมทั้งรัฐบาลยังมีการออกมาตรการด้านภาษีต่าง ๆ ทั้งการยกเว้น และลดหย่อนให้ตามสถานการณ์โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโควิด-19 ส่วนรายได้ของประชาชนที่ได้รับอุดหนุนจากภาครัฐผ่านโครงการคนละครึ่งนั้น ไม่ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี และยังมีมาตรการสนับสนุนสตาร์ทอัพ กองทุนร่วมทุน (Venture Capital) และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น

“มาตรการด้านภาษีที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันออกมา อาจทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ แต่ท้ายที่สุด รายได้ของภาษีจะกลับมาในอนาคต เมื่อธุรกิจกลับมาดำเนินการได้ รัฐบาลก็จะมีรายได้กลับมาเป็นรายได้แผ่นดินในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยการดำเนินมาตรการเพื่อดูแลและกระตุ้นเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ยังจำเป็นต้องดูแลสถานะและเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศด้วย มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่เป็นการสร้างภาระให้ภาคการคลังในอนาคต” รมว.คลัง กล่าว

พร้อมระบุว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังจากนี้ รัฐบาลจะมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริม 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. สังคมดิจิทัล หรือเศรษฐกิจดิจิทัล 2. การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ โดยมุ่งเน้นและสนับสนุนการลงทุนและธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 3. การลงทุนและพัฒนาด้านสุขภาพ เพื่อให้สอดรับกับการก้าวเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงวัย ถือเป็นประเด็นสำคัญ และเป็นภาระของภาครัฐในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินสำหรับดูแลวัยเกษียณ วัยชราภาพ ผู้ด้อยโอกาส และผู้พิการ ดังนั้นมาตรการดูแลสังคมผู้สูงวัย จึงเป็นนโยบายที่ภาครัฐต้องเข้ามากำกับดูแล ทั้งการใช้จ่ายงบประมาณ และการดูแลหลักประกันทางสุขภาพ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 พ.ค. 65)

Tags: , , , , ,
Back to Top