TTB ชี้ความมั่นคงทางอาหารของไทยในช่วง 1-2 ปีอุปทานยังมีพอแต่ห่วงราคาสูง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) เผยความมั่นคงทางอาหารของไทยรั้งอันดับที่ 51 ของโลก มีจุดแข็งในด้านการหาซื้อง่ายและอุปทานการผลิตมีความยืดหยุ่น ขณะเดียวกันมีจุดอ่อน คือ ขาดการสนับสนุนขยายการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นแหล่งอาหารในระยะยาว และขาดความหลากหลายของโภชนาการอาหาร ชี้ระยะ 1-2 ปี อุปทานยังมีพอแต่ห่วงราคาอาหารปรับสูง

ttb analytics ระบุว่า ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เป็นสิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างตระหนักถึงความสำคัญ โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ให้คำนิยาม “ความมั่นคงทางอาหาร” ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1. การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability) 2. การเข้าถึงอาหาร (Food Access) 3. การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization) และ 4. การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability)

สำหรับประเทศไทย ให้คำนิยาม “ความมั่นคงทางอาหาร” ไว้อย่างสอดคล้องกัน คือ การเข้าถึงอาหารที่มีอย่างเพียงพอสำหรับการบริโภคของประชาชนในประเทศ อาหารมีความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสม ตามความต้องการตามวัย เพื่อการมีสุขภาวะที่ดี รวมทั้งการมีระบบการผลิตที่เกื้อหนุน รักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และความคงอยู่ของฐานทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ ทั้งในภาวะปกติ หรือเกิดภัยพิบัติ สาธารณภัย หรือการก่อการร้ายอันเกี่ยวเนื่องจากอาหาร

ทั้งนี้ ท่ามกลางความกังวลของโลกเกี่ยวกับความไม่พอเพียงของอาหาร ทำให้ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้น เนื่องมาจาก 1. ภาวะความตึงเครียดสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่อเค้ายืดเยื้อ 2. ราคาวัตถุดิบการผลิตอาหารปรับสูงขึ้น ได้แก่ ปุ๋ยเคมี และอาหารสัตว์ 3. ค่าการขนส่งสินค้าของโลกราคาสูงขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก ภายหลังการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 คลี่คลายลง ในขณะที่ธุรกิจเดินเรือสินค้ามีตู้คอนเทนเนอร์ไม่เพียงพอ ท่าเรือยังไม่พร้อมให้บริการ และ 4. การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้ผลผลิตอาหารไม่พอเพียง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความกังวลด้านความมั่นคงทางอาหาร นับเป็นความท้าทายที่ไทยต้องตระหนักอย่างมาก

ttb analytics จึงได้ทำการศึกษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย ทั้งด้านความมั่นคงทางอาหารในลำดับโลก และความเพียงพอของอาหารที่ผลิตในไทย รวมถึงนำเสนอแนวทางการรับมือกับความมั่นคงทางอาหารของประเทศอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ The Economist Intelligence Unit พบว่า ดัชนีความมั่นคงทางด้านอาหาร (Global Food Security Index: GFSI) ในปี 64 ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 51 ของโลกจากทั้งหมด 113 ประเทศ ซึ่งหากพิจารณาความมั่นคงทางอาหารที่ประเมินใน 4 องค์ประกอบหลัก พบว่า ความมั่นคงทางอาหารของไทยที่ทำได้ในระดับเฉลี่ยมี 2 องค์ประกอบ คือ ประชาชนสามารถในการหาซื้ออาหารได้ง่าย (Affordability) และทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตอาหารค่อนข้างมีความยืดหยุ่น (Natural Resources and Resilience) เมื่อพบกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างฉับพลัน โดยอยู่ในลำดับที่ 40 และ 50 ของโลก

ขณะที่อีก 2 องค์ประกอบที่นับเป็นจุดอ่อนความมั่นคงทางอาหารของไทย คือ ความพร้อมและความพอเพียงด้านอาหาร (Availability) และคุณภาพและความปลอดภัย (Quality and Safety) ซึ่งอยู่ในระดับที่ 59 และ 73 ของโลก โดยความพร้อมและความพอเพียงด้านอาหารของไทย ยังขาดการสนับสนุนการขยายการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นแหล่งอาหารในระยะยาว ซึ่งหากไม่สนับสนุนอย่างต่อเนื่องอาจทำให้อุปทานอาหารเกิดการชะงักได้ในอนาคต

ส่วนคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร สิ่งที่ต้องปรับปรุงคือ อาหารไทยต้องความหลากหลายทางโภชนาการมากขึ้น รวมถึงต้องเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล ทั้ง 2 องค์ประกอบเป็นจุดอ่อนที่ประเทศไทยต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อยกระดับความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศในระยะต่อไป

ttb analytics ยังได้ทำการศึกษา 5 อาหารหลักของไทย ได้แก่ หมู น้ำมันปาล์ม ไก่ ข้าว และน้ำตาล ว่ามีเพียงพอต่อตลาดในประเทศหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์วัดจากเปอร์เซ็นต์สัดส่วนการบริโภคในประเทศต่อปริมาณการผลิตในประเทศ พบว่า 5 อาหารหลักที่คนไทยนิยมบริโภค ปริมาณการผลิตยังมีเพียงพอสำหรับการบริโภค โดยมีสัดส่วนการบริโภคต่อปริมาณการผลิตของ หมู น้ำมันปาล์ม ไก่ ข้าว และน้ำตาล อยู่ที่ 92% 73% 68% 65% และ 24% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี มีปัจจัยที่น่ากังวลคือ ราคาอาหารโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างอิงจากข้อมูลดัชนีราคาอาหารของโลกจาก FAO พบว่า ในช่วงระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา (นับตั้งแต่ปี 2543-2565) ราคาอาหารของโลกปรับเพิ่มขึ้นสะสมกว่า 127% (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.8% ต่อปี)

สำหรับหมวดอาหารที่ราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 22 ปี คือ น้ำมันพืชปรับเพิ่มขึ้นสะสม 225% (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.2%ต่อปี) รองลงมา คือ ผลิตภัณฑ์นมปรับเพิ่มสะสม 151% (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.9% ต่อปี) ธัญพืชปรับเพิ่มขึ้นสะสม 148% (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.7% ต่อปี) น้ำตาลปรับเพิ่มขึ้นสะสม 141% (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.4% ต่อปี) และเนื้อสัตว์ปรับเพิ่มขึ้นสะสม 77% (เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.5% ต่อปี)

ดังนั้น แม้ว่าปริมาณการผลิตในประเทศใน 5 อาหารหลักของคนไทยจะมีเพียงพอ แต่การที่ราคาอาหารโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าว ย่อมเป็นแรงกดดันทำให้ราคาอาหารในประเทศสูงขึ้น

ttb analytics จึงประเมินว่า ปัจจัยความตึงเครียดของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาวัตถุดิบการผลิตอาหารและค่าขนส่งสินค้าของโลกเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจะยังคงเป็นแรงกดดันในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โดยจะทำให้ราคาอาหารของโลกปรับสูงขึ้น และจะส่งผ่านมายังราคาอาหารในประเทศให้ปรับสูงขึ้นตามด้วย

“ถึงแม้แรงกดดันด้านอุปทานอาหารขาดแคลนในประเทศจะมีไม่มากนัก เนื่องจากอาหารส่วนใหญ่ไทยจะผลิตเองได้ แต่แรงกดดันด้านราคาอาหารโลกที่ปรับสูงขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคงทางอาหารในไทยได้ เป็นความท้าทายที่ไทยต้องยกความมั่นคงทางอาหารให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายการบริหารประเทศ อย่างบูรณาการ” บทวิเคราะห์ ระบุ

อย่างไรก็ดี การบริหารความมั่นคงทางด้านอาหารอย่างยั่งยืน ต้องคำนึงถึง 2 ส่วนหลัก ได้แก่

1. ปริมาณการผลิตอาหารต้องเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ ด้วยราคาที่ประชาชนรับได้ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน ในการกำหนดเป้าหมายปริมาณการผลิตที่เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ และส่งสัญญาณให้เกษตรกรผู้ผลิตต้นน้ำ ได้วางแผนการผลิตล่วงหน้าอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดการผลิตส่วนเกินหรือขาดมากเกินไป เนื่องจากเหล่านี้จะส่งผลต่อราคาอาหารได้

ในกรณีที่หากราคาอาหารพุ่งสูงอันเกิดจากราคาอาหารโลกปรับเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอ ภาครัฐควรเข้าควบคุมราคาอาหารในประเทศไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งอาจต้องใช้มาตรการจำกัดโควต้าการส่งออก เพื่อไม่ให้อาหารในประเทศขาดแคลน ทำให้ราคาอาหารในประเทศปรับสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก

2. ปริมาณการผลิตอาหารส่วนที่เกิน เน้นส่งออกด้วยมาตรฐานระดับสากล เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ จากการที่ทุกประเทศต่างเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันว่า ความมั่นคงทางอาหารเป็นวาระแห่งชาติ ดังนั้น อาหารชนิดใดที่ประเทศของตนพอจะผลิตได้เอง ภาครัฐจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในประเทศผลิต เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ

นอกจากนี้ อาจพิจารณาใช้มาตรการกีดกัน ไม่ให้สินค้าอาหารประเทศอื่นๆ เข้าไปแข่งขันกับผู้ผลิตในประเทศ ดังนั้น ผู้ผลิตอาหารไทยที่มีความสามารถในการผลิต จำเป็นต้องเร่งพัฒนาอาหารให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อลดผลกระทบจากการกีดกันทางการค้า สร้างโอกาสการส่งออกอาหาร และนำรายได้เข้าสู่ประเทศ

“จะเห็นว่าความมั่นคงทางอาหาร เป็นประเด็นที่ไทยต้องให้ความสำคัญ ซึ่งการจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นผู้นำ ภาครัฐเป็นผู้ส่งเสริมและอำนวยความสะดวก การร่วมมือกันนี้จะทำให้ไทยมีความมั่นคงทางอาหารได้อย่างยั่งยืน” บทวิเคราะห์ ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ค. 65)

Tags: ,
Back to Top