เงินบาทเปิด 36.44 อ่อนค่าตามทิศทางภูมิภาค หลังบอนด์ยีลด์สูงหนุนดอลลาร์แข็งค่า

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 36.44 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 36.32 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค หลังดอลลาร์กลับมาแข็งค่าตามแรงซื้อ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากบอนด์ยีลด์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

“บาทปรับตัวอ่อนค่าจากเมื่อเย็นวันศุกร์ หลังดอลลาร์ได้รับปัจจัยหนุนให้แข็งค่า ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา”

นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 36.35 – 36.55 บาท/ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือมาตรการดูแลค่าเงินเยนของกระทรวงการคลังญี่ปุ่น หลังออกมาแสดงความเห็นว่าเงินเยนอ่อนค่ามากเกินไป และการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ส.ค.ของสหรัฐ

THAI BAHT FIX 3M (9 ก.ย.) อยู่ที่ระดับ 0.79824% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.96228%

ปัจจัยสำคัญ

  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 142.77 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 142.22 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.0067 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 1.0078 ดอลลาร์/ยูโร
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 36.305 บาท/ดอลลาร์
  • โฆษกรัฐบาล เผยยอดรวมการใช้จ่ายภาครัฐและประชาชน ภายใต้มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศปี 2565 ณ วันที่ 9 ก.ย.65 เวลา 23.00 น.มีผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 32.15 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสมรวม 16,126.4 ล้านบาท
  • โฆษกรัฐบาล เผยข้อมูลสำนักตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงวันที่ 8 ก.ย.65 มียอดสะสมอยู่ที่ 5,018,172 คนแล้ว โดยจากการประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติล่าสุด รัฐบาลยังคงเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยตลอดปี 65 ไว้ที่ 10 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ 6 ล้านคนในปีนี้ นอกจากนี้ยังพบสัดส่วนการจ้างงานภายในสถานประกอบการโรงแรม ที่พัก เพิ่มขึ้นกว่า 75% โดยส่วนหนึ่งเป็นการจ้างงานพนักงานใหม่เพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วง High season ปลายปี 65 นี้
  • ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ (กคน.) ได้ปรับปรุงเงื่อนไขโครงการคลินิกแก้หนี้ 2 เรื่อง จากเดิมให้ลูกหนี้ผ่อนชำระเงินต้นเป็นรายเดือน โดยจ่ายดอกเบี้ย 5% ต่อปี ระยะเวลานาน 10 ปี ซึ่งครั้งนี้ได้ปรับเกณฑ์คุณสมบัติการสมัครเข้าร่วมโครงการ ให้ครอบคลุมลูกหนี้ที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย จากเดิมก่อนวันที่ 1 เม.ย.65 เป็นก่อนวันที่ 1 ก.ย.65 ทั้งนี้เพื่อรองรับหนี้เสียรายใหม่ให้เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ได้
  • รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การส่งออกข้าวของไทยว่า ในปีนี้คาดว่าจะส่งออกข้าวได้มากกว่าเป้าหมาย 7 ล้านตัน ที่กรมการค้าต่างประเทศ และผู้ส่งออกข้าวไทยได้ร่วมกันตั้งไว้ โดยอาจจะส่งออกได้มากถึง 7-8 ล้านตัน ซึ่งในช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ปีนี้ ส่งออกได้แล้วกว่า 4 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศ 71,105 ล้านบาท ตลาดที่ส่งออกได้มาก เช่น อิรัก โมซัมบิก ฟิลิปปินส์ เซเนกัล และญี่ปุ่น
  • ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (9 ก.ย.) และแตะระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 1 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไร หลังจากก่อนหน้านี้ดอลลาร์พุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ ขณะที่นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์หน้าเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับอัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ
    ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (9 ก.ย.) หลังได้แรงหนุนจากการที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี และยูโรแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ ความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยได้หนุนแรงซื้อสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยด้วย
  • นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือน ส.ค.ของสหรัฐในวันอังคารที่ 13 ก.ย.นี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายในการบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. โดยคาดดัชนี CPI อาจเพิ่มขึ้นแตะ 8.1% ในเดือน ส.ค.เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงเมื่อเทียบกับระดับ 8.5% ในเดือน ก.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ย. 65)

Tags: , ,
Back to Top