หุ้น “เสี่ยวเผิง” พุ่ง หลังทำข้อตกลงธุรกิจมูลค่า 744 ล้านดอลล์กับ “ตีตี”

ราคาหุ้นเสี่ยวเผิง (Xpeng) ซึ่งเป็นผู้ผลิตถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีน พุ่งขึ้น 13% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกงวันนี้ หลังจากเสี่ยวเผิงประกาศเข้าซื้อธุรกิจพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะของบริษัทตีตี (Didi) โดยแลกเปลี่ยนกับหุ้นมูลค่า 744 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การทำธุรกรรมดังกล่าวจะทำให้ตีตีจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ของเสี่ยวเผิง และบริษัททั้งสองจะร่วมมือกันด้านการตลาด, การบริการทางการเงินและการประกันภัย, การชาร์จแบตเตอร์รี, โรโบแท็กซี่ (Robotaxis) และการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

เสี่ยวเผิงระบุว่า “ด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์และสินทรัพย์ใหม่จากตีตี ทำให้เราสามารถวางแผนที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและจะทำการเปิดตัวในปีหน้า ภายใต้แบรนด์ใหม่ชื่อว่า โมนา (MONA) โดยเราได้ตั้งเป้าราคาไว้ที่ประมาณ 150,000 หยวน (20,580 ดอลลาร์สหรัฐ)”

โดยปกติแล้ว ราคารถยนต์ EV ของเสี่ยวเผิงจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 หยวน ส่วนรถยนต์ EV แบรนด์โมนานั้น ได้รับการพัฒนาให้แตกต่างจากเสี่ยวเผิง

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การทำข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเสี่ยวเผิงและตีตี มีขึ้นในขณะที่ทั้งสองบริษัทกำลังหาลู่ทางที่จะชิงส่วนแบ่งตลาดในจีนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง

ในช่วงปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เสี่ยวเผิงได้ทำสัญญากับบริษัทโฟล์คสวาเกน (Volkswagen) เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 2 รุ่นในจีนภายใต้แบรนด์โฟล์คสวาเกน โดยมีกำหนดเปิดตัวในปี 2569 ซึ่งภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวนั้น โฟล์คสวาเกนวางแผนจะลงทุนในเสี่ยวเผิงประมาณ 700 ล้านดอลลาร์ เพื่อถือครองหุ้น 4.99%

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. เสี่ยวเผิงเปิดเผยตัวเลขขาดทุนสุทธิ 2.8 พันล้านหยวนในไตรมาส 2/2566 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.13 พันล้านหยวน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถยนต์ EV

นอกจากนี้ ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.7 พันล้านหยวน และเป็นตัวเลขขาดทุนรายไตรมาสที่สูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่เสี่ยวเผิงนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนส.ค.2563

ทั้งนี้ เสี่ยวเผิงเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถยนต์ EV ท่ามกลางการทำสงครามราคาทั้งจากบริษัทคู่แข่งร่วมชาติ เช่น BYD, Nio และ Li Auto รวมทั้งเทสลา ยักษ์ใหญ่ EV จากสหรัฐ นอกจากนี้ ผลประกอบการของเสี่ยวเผิงยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ส.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top