หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าบวกตามภูมิภาครับตัวเลขศก.สหรัฐแข็งแกร่ง-หุ้น ARM พุ่งหนุน Sentiment

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดภูมิภาค จากบรรยากาศการลงทุนที่สดใส หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะยอดค้าปลีกที่ขยายตัวสูงกว่าคาด และเงินเฟ้อ PPI พื้นฐานที่ออกมาตามคาดการณ์ ขณะที่หุ้น ARM เข้าเทรดวันแรกที่ตลาด Nasdaq พุ่งขึ้นต่อเนื่อง คาดหนุนจิตวิทยาการลงทุน ให้แนวรับไว้ที่ 1,540-1,535 จุด และแนวต้าน 1,560-1,565 จุด

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย จากบรรยากาศการลงทุนที่สดใสขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาแข็งแกร่งเกินคาด โดยยอดค้าปลีกสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์

ขณะที่ Arm Holdings ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปสำหรับสมาร์ตโฟนทั่วโลก รวมทั้งออกแบบชิปที่ใช้สำหรับโปรเซสเซอร์ในเซิร์ฟเวอร์ศูนย์ข้อมูล อุปกรณ์สำหรับผู้บริโภค และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในแวดวงอุตสาหกรรม พุ่งขึ้นในการซื้อขายที่ตลาด Nasdaq วันแรกเมื่อคืนนี้ คาดจะหนุนจิตวิทยาการลงทุนต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของไทยในวันนี้

ทั้งนี้นักลงทุนยังรอดูจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค., ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค., ยอดค้าปลีกเดือนส.ค., อัตราว่างงานเดือนส.ค. และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนส.ค.

ให้แนวรับไว้ที่ 1,540-1,535 จุด และแนวต้าน 1,560-1,565 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (14 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,907.11 จุด เพิ่มขึ้น 331.58 จุด หรือ +0.96% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,505.10 จุด เพิ่มขึ้น 37.66 จุด หรือ +0.84% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,926.05 จุด เพิ่มขึ้น 112.47 จุด หรือ +0.81%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดภาคเช้าที่ระดับ 33,428.44 จุด เพิ่มขึ้น 260.34 จุด หรือ +0.78% ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งเปิดที่ระดับ 18,154.01 จุด เพิ่มขึ้น 106.09 จุด หรือ +0.59% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,133.59 จุด เพิ่มขึ้น 7.04 จุด หรือ +0.23%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ก.ย.66) 1,545.14 จุด เพิ่มขึ้น 9.83 จุด (+0.64%) มูลค่าซื้อขาย 40,568.46 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,276.54 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ก.ย.66

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. (14 ก.ย.) เพิ่มขึ้น 1.64 ดอลลาร์ หรือ 1.85% ปิดที่ 90.16 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2565

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ก.ย.) อยู่ที่ 12.29 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 35.78 ทรงตัวจากวานนี้ ให้กรอบ 35.60-35.85 จับตาตัวเลขเศรษฐกิจจีน

– “เศรษฐา” นั่งหัวโต๊ะประชุม 4 หน่วยงาน ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ เคาะกรอบงบปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้าน ขาดดุลเพิ่ม 1 แสนล้าน เพิ่มกรอบ วงเงินใช้จ่ายงบประมาณ 1.3 แสนล้านบาท รับรายจ่าย เพิ่มเติมตามนโยบายรัฐบาล ธปท.ค้านพักหนี้วงกว้าง-แจกเงินดิจิทัลแบบถ้วนหน้า

– “แบงก์ชาติ” ชี้บอนด์ยีลด์ 10 ปี พุ่งแตะ 3% สะท้อนความกังวลซัพพลายใหม่เพิ่ม ห่วงตัวเลขขยับแตะ 4-5% กระทบต่อเสถียรภาพ ด้าน “ไทยบีเอ็มเอ” ชี้ตลาดรอดูแผนการกู้เงินรัฐ พร้อมระบุอัตราผลตอบแทนที่พุ่งขึ้น ทำต้นทุนรัฐเพิ่มตามด้วย แต่เชื่อยังถูกกว่ากู้เงินต่างประเทศ

– พาณิชย์ ประกาศปรับลดราคาสินค้าภายใน 15 วัน รับมาตรการลดราคาน้ำมัน-ค่าไฟ พร้อมเดินหน้าดูแลราคาสินค้าเกษตรยืนยันไม่ใช้นโยบายรับจำนำ ปลุกกระแสซอฟต์เพาเวอร์ดันยอดส่งออกทั้งปีพลิกโตบวก

– ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนส.ค. 2566 ว่า ปรับตัวจากระดับ 55.6 เป็น 56.9 ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน เพราะการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า แต่ยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าค่าครองชีพสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ส่งผลกระทบทางเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้ แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรัฐบาลใหม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วภายใต้นโยบายที่ได้หาเสียงไว้

 

หุ้นเด่นวันนี้

– BBL (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 197 บาท คาดกำไรไตรมาส 3/66 เติบโตแกร่ง y-y จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ยังอยู่ในระดับสูงอย่างมีเสถียรถภาพ และสินเชื่อที่คาดเร่งตัวขึ้น ขณะที่คุณภาพหนี้ดูแข็งแรงที่สุดในกลุ่ม นอกจากนี้คาดว่ายังได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศระยะยาว เราคาดกำไรปี 2566-2567 +29% y-y และ +8% y-y หากกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมปลายเดือน ก.ย. นี้จะเป็นอีก Sentiment บวก

– TRUE (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 7.80 บาท การจัดงาน Future Ready True ในวันที่ 26 ก.ย. ที่ตลาดคาดหวังต่อ Synergy Guidance หลังการควบรวมกับ DTAC หากมีพัฒนาการเชิงบวกอาจนำมาสู่การปรับประมาณการของเราและ Consensus ด้านผลประกอบเราเชื่อว่าจะผ่านจุดเลวร้ายที่สุดในช่วง 1H66 ไปแล้ว หลังขาดทุนหนัก 4.0 พันล้านบาท ขณะที่ช่วง 2H66 รายได้จะฟื้นตัวจากการแข่งขันที่ในอุตสาหกรรมที่ลดลงและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวของรัฐฯ ทำให้การขาดทุนลดลง ส่วนราคาหุ้นวันนี้อาจเห็นความผันผวนจากการเข้าคำนวณ FTSE Large Cap หากเกิดเหตุการณ์ Sell on Fact มองเป็นจังหวะซื้อ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ก.ย. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top