กกร.เสนอรัฐบาลฟื้นเวที กรอ.กลาง ร่วมขับเคลื่อนศก./แนะเพิ่มโอกาส SME เข้าถึงแหล่งทุน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกร.เตรียมข้อเสนอทางเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลชุดใหม่ และขอให้มีการรื้อฟื้นการ ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลาง) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยเสนอให้ รัฐบาลจัดประชุมทุก ๆ 3 เดือน

เพื่อเป็นเวทีนำเสนอความเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด และ เร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน (Regulatory Guillotine) โดยจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ กกร.ยังได้มีการหารือในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม ได้แก่

1.การช่วยเหลือ SME ให้เข้าถึงสินเชื่อมีความจำเป็นมากกว่าการพักชำระหนี้ เนื่องจาก SME ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด- 19 ยังฟื้นตัวได้ช้าและยังเข้าถึงสินเชื่อได้ไม่เต็มที่ เห็นได้จากยอดสินเชื่อ SME ที่ยังหดตัว และการสำรวจความเห็นของ SME โดยสำนัก งานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่าต้องการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่าการพักชำระหนี้ โดยควรสนับสนุนผลักดันให้ กิจการของ SME สามารถมีความพร้อมรองรับโอกาสจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ High Season ของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทในช่วงต้นปีหน้าโดย กกร.เสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้ SME เพิ่มอัตราการค้ำประกันจาก 30% เป็น 50-60% โดยบูรณาการการใช้กองทุนของ สสว.เป็นองค์รวม ช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียม การค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME

2.กกร.สนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.6 แสนล้านบาท แต่ควรจำกัดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ และจำกัดพื้นที่ ในการใช้งาน เพื่อก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจทวีคูณ (Multiplier) มากกว่า โดยสนับสนุนการใช้จ่ายสินค้าที่ผลิตในประเทศ (Local Content) หากสามารถควบคุมวงเงินให้เหมาะสมจะมีวงเงินไปลงทุนเรื่องการบริหารจัดการน้ำด้วยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน เพื่อให้การ เติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้าหมาย มุ่งเน้นให้การเติบโตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

3.การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศควรใช้กลไกของคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้กำหนดแนวทาง เพื่อให้เป็นไปตาม ความเหมาะสมของสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด เนื่องจากบริบทและศักยภาพของแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน ซึ่งการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ควรเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน (มาตรา 87 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งได้กำหนดปัจจัยในการพิจารณาการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาทิ เงิน เฟ้อ ค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิต ฯลฯ)

4.ผลักดันการเจรจาข้อตกลงทางการค้า FTA ระหว่างไทยกับต่างประเทศให้มากที่สุด โดยเร่งผลักดันการเจรจา FTA ที่ ดำเนินการอยู่ให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา ทั้ง ไทย – EU, ไทย – ศรีลังกา, ไทย – EFTA และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขต การค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และละตินอเมริกา ตลอดจน FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการจัดตั้งกอง ทุน FTA เพื่อส่งเสริมและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 5.เห็นควรให้รัฐบาลสนับสนุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC เพื่อดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง โดยมีประเด็นสำคัญที่จะต้องขับ เคลื่อนต่อเนื่อง ตามร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนา EEC ระยะที่ 2 บริบทการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อ EEC การจัดกลุ่ม Cluster อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะ (2566 – 2570) ตาม 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้า หมายและบริการแห่งอนาคต 2) เพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภค 3) ยกระดับทักษะแรง งานให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4) พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยน่าอยู่อาศัยและเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ และ 5) เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC ให้มีความเพียงพอต่อการ ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและเป็นการสร้างความมั่นใจถึงความพร้อมกับนักลงทุนต่างชาติ

6.เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในปี 2566 ปริมาณน้ำใช้ได้จริง ณ เดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 54 % ซึ่งต่ำกว่าระดับในช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่อยู่ที่ระดับ 66 % หากภาวะเอลนีโญ่มีความรุนแรง ปริมาณฝนที่ตกจะ ยิ่งต่ำกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำใช้การได้ยิ่งน้อยลงและทำให้ความเสียหายจากภัยแล้งทวีความรุนแรงและจะกระทบเป็นวงกว้าง ดัง นั้น ภาคเอกชน จึงขอให้รัฐบาลบูรณาการการดำเนินงานของกลไกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปในทิศทางเดียว กัน สามารถจัดสรรน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะในพื้นที่เป้าหมายสำคัญ เช่น EEC และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยขอให้เร่ง รัดพัฒนาแหล่งเก็บน้ำที่สำคัญ เพื่อกักเก็บสำรองให้กับพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด รวมทั้งจัดตั้งคณะ กรรมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC รวมถึงทบทวนแผนทรัพยากรน้ำ 20 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำใหม่ในภาคเหนือ ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก และภาคเอกชนเห็นพ้องว่าประเด็นการบริหารจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลจึงควรให้ ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณบริหารจัดการน้ำทั้งระยะสั้นและระยาว โดยอาจพิจารณาใช้งบประมาณบางส่วนจากโครงการกระตุ้น เศรษฐกิจ เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้าหมาย

7.ผลักดันแนวทางการทำ Carbon credit ให้สามารถเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล และสามารถทำการค้ากับต่างประเทศ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะมีการกำหนดบทบาทของภาคเอกชนในการเตรียมความ พร้อม โดยสภาหอการค้าฯ เน้นภาคการค้า เกษตรและบริการ สภาอุตสาหกรรมฯ เน้นภาคการผลิต และสมาคมธนาคารไทยจะเข้ามาสนับ สนุนภาคการเงิน เพื่อให้เกิดรูปแบบที่ชัดเจนและสามารถขับเคลื่อนมาตรการ Carbon credit และสามารถแก้ปัญหามาตรการปรับ คาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปได้ตรงจุด ลดผลกระทบให้กับผู้ส่งออกไป EU

นายสนั่น กล่าวถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ เงินบาทอ่อนค่าตามทิศทางเงิน ดอลลาร์ที่แข็งค่าเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงที่นานกว่าคาด ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่ แผ่วลงในช่วงนี้ส่งผลให้ค่าเงินหยวนและค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซียอ่อนค่าต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทยังมีปัจจัยภายในประเทศจากความ กังวลในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้แม้ค่าเงินบาทจะอ่อน ค่าค่อนข้างเร็วในเดือนกันยายน แต่โดยรวมยังสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคในช่วง 9 เดือนแรกของปี

สำหรับเศรษฐกิจในปีนี้ กกร.ยังคาดว่า จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.5 – 3.0% โดยคาดว่ามาตรการวีซ่าฟรีของภาครัฐจะช่วย สนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วง high season โดยจะมีส่วนช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นราว 3.4 แสนคน ทำให้จำนวนนัก ท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มแตะระดับ 29 – 30 ล้านคนในปีนี้ ภายใต้การบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยและเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดียังต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เอลนีโญ) ที่จะมีผลกระทบต่อภาคการเกษตร รวมถึงราคา พลังงานในตลาดโลกที่มีทิศทางสูงขึ้นซึ่งอาจจะมีผลต่อราคาพลังงานในประเทศหลังจากช่วงการลดราคาตามนโยบายของรัฐสิ้นสุดลง


โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ต.ค. 66)

Tags: , , , , ,
Back to Top