ดาวโจนส์ปิดบวกเพียง 15.29 จุด หลังเงินเฟ้อสหรัฐสูงกว่าคาด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ อย่างไรก็ดี ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดและข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,711.02 จุด เพิ่มขึ้น 15.29 จุด หรือ +0.04%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,780.24 จุด ลดลง 3.21 จุด หรือ -0.07%
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,970.19 จุด เพิ่มขึ้น 0.54 จุด หรือ +0.004%

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 3.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.2% จากระดับ 3.1% ในเดือนพ.ย. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.8% จากระดับ 4.0% ในเดือนพ.ย.

ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 202,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 210,000 ราย

ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงเกินคาดและข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักต่อการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 67% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. ซึ่งลดลงจากระดับ 71% ในช่วงก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลข CPI

นอกจากนี้ การแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการคาดการณ์ดังกล่าว โดยนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ และนายโทมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวว่า ดัชนี CPI ที่ออกมาสูงเกินคาดในเดือนธ.ค.ทำให้เฟดไม่มั่นใจว่าเงินเฟ้อของสหรัฐจะลดลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% และบ่งชี้ว่าเฟดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนตลาดในระหว่างวัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 4% เมื่อคืนนี้ หลังจากการประมูลพันธบัตรอายุ 30 ปี วงเงิน 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

หุ้นเกือบทุกกลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ โดยมีเพียงหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยีที่ปิดในแดนบวก โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 0.16% และดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.44%

หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 1.77% หลังจากซิตี้กรุ๊ปเปิดเผยว่า การขาดทุนที่เกิดจากการแปลงค่าเงินเปโซอาร์เจนตินาและค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรนั้น อยู่ในระดับสูงกว่าที่ธนาคารประเมินไว้ในเบื้องต้น และอาจจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาส 4/2566 โดยการเปิดเผยดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่ซิตี้กรุ๊ปจะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2566 ในวันนี้

หุ้นเจพีมอร์แกน เชส, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา, และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปรับตัวลง 0.42%, 1.33% และ 0.08% ตามลำดับ ก่อนที่ธนาคารทั้ง 3 แห่งจะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2566 ในวันนี้เช่นกัน

หุ้นกลุ่มธุรกิจบล็อกเชนปิดตลาดร่วงลง หลังจากพุ่งขึ้นในช่วงแรกจากข่าวสหรัฐอนุมัติการจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF โดยหุ้นไรออท แพลตฟอร์มส์ (Riot Platforms) ร่วงลง 15.82% หุ้นคอยน์เบส (Coinbase) ลดลง 6.7% และหุ้นมาราธอน ดิจิทัล (Marathon Digital) ดิ่งลง 12.6%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ม.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top