ชาวกาซา 1 ใน 4 ใกล้เผชิญภาวะอดอยาก UN วอนหยุดยิงเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือ

เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์อาวุโสของสหประชาชาติ (UN) กล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคงของ UN เมื่อวันอังคาร (27 ก.พ.) ว่า ประชาชนอย่างน้อย 576,000 คนในฉนวนกาซา หรือ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด ใกล้เผชิญภาวะอดอยาก และปัญหานี้อาจเป็นเรื่องที่แทบจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ

“การช่วยเหลือจะทำได้เพียงเล็กน้อยมากในขณะที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป และมีความเสี่ยงที่จะลุกลามไปยังพื้นที่แออัดทางตอนใต้ของกาซา เราจึงขอเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอีกครั้ง” นายราเมช ราชสิงห์ฮาม ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานของสำนักงานประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติกล่าว

นายราชสิงห์ฮามกล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า 1 ใน 6 ของเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ทางตอนเหนือของกาซาประสบปัญหาขาดสารอาหารอย่างรุนแรงและเป็นโรคผอมแห้ง ประชาชนเกือบทั้ง 2.3 ล้านคนในพื้นที่ดังกล่าวต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหารที่ “ไม่เพียงพออย่างมาก” เพื่อความอยู่รอด

นายโจนาธาน มิลเลอร์ รองเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติกล่าวว่า อิสราเอลมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในกาซา ส่วนข้อจำกัดด้านปริมาณ และความเร็วของความช่วยเหลือนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของ UN และหน่วยงานอื่น ๆ

“อิสราเอลได้กำหนดนโยบายไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า จะไม่มีการจำกัดปริมาณ และผมขอย้ำว่า ไม่มีการจำกัดปริมาณสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จะส่งไปยังพลเรือนของกาซาอย่างแน่นอน” นายมิลเลอร์กล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคง

ด้านนายโรเบิร์ต วูด รองเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำ UN กล่าวต่อคณะมนตรีความมั่นคงว่า สหรัฐเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรอย่างอิสราเอลเปิดจุดผ่านแดนสำหรับการส่งมอบสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังกาซา และอำนวยความสะดวกในการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มขึ้น

“พูดง่าย ๆ ก็คือ อิสราเอลต้องทำอะไรมากกว่านี้ เราเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้อิสราเอลปรับปรุงกระบวนการลดความขัดแย้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งของช่วยเหลือสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง”

ทั้งนี้ สงครามในกาซาปะทุขึ้นเมื่อกลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยอิสราเอลให้ข้อมูลว่า ฮามาสสังหารผู้คนไปราว 1,200 คน และจับตัวประกันอีก 253 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในฉนวนกาซาระบุว่า การโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดินของอิสราเอลในกาซาได้คร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วประมาณ 30,000 คน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 67)

Tags: , ,
Back to Top