น่าห่วง! คุณภาพอากาศเชียงใหม่วิกฤติ ครองอันดับ 1 โลกมลพิษมากสุด

เชียงใหม่ เข้าขั้นวิกฤติ ค่าฝุ่น PM 2.5 เช้านี้ยังครองแชมป์อันดับ 1 เมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดของโลก โดยเช้านี้เวลา 09.18 น. เว็บไซต์ IQAir รายงานคุณภาพอากาศของทั่วโลก พบว่า เชียงใหม่ ประเทศไทย มีค่า AQI อยู่ที่ 188 อยู่ในระดับสีแดง (AQI = 151-200) หรือมีผลกระทบต่อทุกคน

ขณะที่อันดับ 2 และ 3 ของโลก คือประเทศอินเดีย เมืองเดลี ค่า AQI อยู่ที่ 186 และเมืองโกลกาตา ค่า AQI อยู่ที่ 181 ตามลำดับ

โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ Air4Thai เมื่อเวลา 9.00 น. รายงานว่า เช้านี้ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เกินมาตรฐานหลายจังหวัด โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ สำหรับจังหวัดที่ PM 2.5 เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีแดง ได้แก่ น่าน, พะเยา, ลำปาง, ลำพูน, สุโขทัย, อุดรธานี, จ.เชียงราย, เชียงใหม่, เลย, แพร่ และแม่ฮ่องสอน

นายแพทย์จตุชัย มณีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ แนะแนวทางข้อปฏิบัติในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ดังนี้ ควรติดตามข่าวสารหรือใช้แอปพลิเคชั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองหนาแน่น หากจำเป็นควรสวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น สวมแว่นตาเพื่อป้องกันการระคายเคืองตา อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ควรออกกำลังกายและทำงานหนักในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ปิดประตูและหน้าต่างลดปริมาณฝุ่นละอองเข้ามาในบ้าน ในช่วงที่มีค่าเกิตนมาตรฐาน และขอให้ดูแลกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยง่ายอย่างใกล้ชิด เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที

ทั้งนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ยังคงดำเนินการตามมาตรการเตรียมความพร้อมดูแลและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ได้แก่ 1.เฝ้าระวัง คาดการณ์ และแจ้งเตือนสถานการณ์ พร้อมสื่อสารสร้างความรู้ความเข้าใจในการดูแลป้องกันสุขภาพอย่างต่อเนื่อง 2.เตรียมความพร้อมระบบบริการสาธารณสุข/ระบบส่งต่อ 3.เตรียมความพร้อมสำรองเวชภัณฑ์ยา หน้ากากป้องกันฝุ่นสำหรับผู้ป่วย COPD 4.พร้อมทั้งให้ทุกสถานบริการจัดทำห้องลดฝุ่น ตามประกาศจังหวัดเชียงใหม่ 5.ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงาน เอกชน ร้านค้า ร้านอาหาร เข้าร่วมดำเนินการจัดทำห้องลดฝุ่น 6.สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมดูแลประชาชนจากปัญหาฝุ่นละอองในพื้นที่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 มี.ค. 67)

Tags: , , , , ,
Back to Top