หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าอ่อนตัว รับแรงกดดันบอนด์ยีลด์เด้งขึ้นหลัง PMI สหรัฐดีกว่าคาด-การเมืองในปท.ไม่แน่นอน

นักวิเคราะห์ฯ ระบุตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีอ่อนตัวลง ถูกกดดันจากบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูง หลังการรายงานตัวเลข PMI สหรัฐออกมาดีว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงเป็นเวลานาน ขณะที่ปัจจัยในประเทศนักลงทุนกังวลประเด็นการเมืองในประเทศมีความไม่แน่นอน โดยให้กรอบแนวรับ 1,360 – 1,365 จุด และแนวต้าน 1,376 – 1,377 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีอ่อนตัวลง ถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของสหรัฐออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดไว้

ขณะที่ปัจจัยในประเทศมีความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้เมื่อวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญ รับพิจารณาคำร้องของกลุ่ม 40 สว.ไว้พิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีเสนอแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ที่เคยถูกศาลฎีกาลงโทษในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และไม่ได้สั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่จะเป็นเรื่องที่ต้องติดตามตลอดในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ซึ่งมองว่ามีความเสี่ยงที่ความไม่แน่นอนของคำวินิจฉัยจะออกมาเป็นผลอย่างไร ทำให้ปัจจัยการเมืองในประเทศเป็น Overhang ต่อไป

รวมทั้งช่วงนี้จะมีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งอาจดูมีความวุ่นวายเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ในวันที่ 29 พ.ค.
อัยการสูงสุดนัดฟังคำสั่งคดีมาตรา 112 ของ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทำให้นักลงทุนอาจกลับมากังวลปัจจัยการเมืองในประเทศมากขึ้น

ขณะที่คำแนะนำการลงทุนวันนี้เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ซึ่งวันนี้บล.ทิสโกได้มีการปรับประมาณการกำไรของ CBG ซึ่งคาดว่าแนวโน้มกำไรในไตรมาส 2/67 น่าจะดี หลังจากเมื่อวานนี้มีการประชุมนักวิเคราะห์และบริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ จึงเลือกหุ้น CBG เป็นหุ้นแนะนำ

โดยให้กรอบแนวรับ 1,360 – 1,365 จุด และแนวต้าน 1,376 – 1,377 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (23 พ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,065.26 จุด ลดลง 605.78 จุด หรือ -1.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,267.84 จุด ลดลง 39.17 จุด หรือ -0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,736.03 จุด ลดลง 65.51 จุด หรือ -0.39%
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดตลาดที่ระดับ 3,110.75 จุด ลดลง 5.64 จุด หรือ -0.18% ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็งเปิดตลาดที่ระดับ 18,742.28 จุด ลดลง 126.43 จุด หรือ -0.67% ส่วนดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 38,506.03 จุด ร่วงลง 597.19 จุด หรือ -1.53%
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 พ.ค.) 1,367.84 จุด ลดลง 2.99 จุด (-0.22%) มูลค่าซื้อขาย 46,273.14 ล้านบาท 1,378.70 จุด ลดลง 3.98 จุด (-0.29%) มูลค่าซื้อขาย 44,067.53 ล้านบาท
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 986.47 ล้านบาท (23 พ.ค.)
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 70 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 76.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 พ.ค.) อยู่ที่ 2.83 เหรียญ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 36.66 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มอ่อนค่า หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดีกว่าคาด หนุนดอลลาร์แข็งค่า
  • “กูรู” เผยภายหลังก.ล.ต. และตลท. ผนึกกำลังปรับเกณฑ์ “เอ็นวีดีอาร์” ใหม่ “ห้ามนักลงทุนไทยซื้อเพิ่ม-ยกเว้นค่าธรรมเนียมเรียกเก็บ” เชื่อช่วย “ยกระดับตลาดทุนไทย” ชี้ไม่มีผลต่อสัดส่วนถือหุ้นลดลง-ไม่ช่วยเพิ่มวอลุ่มเทรด เหตุเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญไม่ใช่วอลุ่มซื้อจริง หลักๆ ช่วยให้นักลงทุนที่ปกปิดข้อมูลการถือหุ้นที่อาจนำไป “สู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม” ทำได้ยากขึ้น
  • บอร์ด รฟท.เคาะแก้ไขสัญญาไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน ยอมตัดเงื่อนไข BOI ให้ “ซีพี” พร้อมบี้เร่งหาแบงก์การันตี 1.2 แสนล้านบาท หวังเดินหน้าโครงการออก NTP ตอกเสาเข็มปีนี้เปิดใช้ปี 72
  • ส.อ.ท.โอดยอดผลิตรถยนต์เดือน 4 ยังไม่ฟื้น ลดลง 11.02% รับผลกระทบจากยอดผลิตเพื่อขายในประเทศไม่กระเตื้อง จับตา 2 เดือน จ่อหั่นเป้าปีนี้ลงจากเดิม 1.9 ล้านคัน ด้านพาณิชย์เผยส่งออก เม.ย.67 มีมูลค่า 23,278.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 6.8% กลับมาเป็นบวก

หุ้นเด่นวันนี้

  • MASTER (คิงส์ฟอร์ด) ซื้อ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 78.50 บาท แนวโน้มผลประกอบการ 2Q67 มีทิศทางฟื้นตัวหลังผ่าน Low Season โดยผู้บริหารคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ +20% แม้ 1Q67 ลดลง QoQ แต่เป็นเรื่องฤดูกาล ซึ่งในช่วงที่เหลือจะดีขึ้น QoQ, YoY ได้ทุกไตรมาส หนุนจากรายได้จากการเข้าใช้บริการตามการขยายห้องผ่าตัวเป็น 17 ห้องเต็มปี ส่วน U-rate ห้องผ่าตัดใหม่ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้น นอกจากนี้ยังมีการรู้กำไรจากการเข้าลงทุนใหม่ (Partner คลินิกเสริมความงาม) ทยอยเข้าระหว่างปี หนุนจากการเติบโตในเชิง Inorganic พร้อมแผนกลยุทธ์แบบ Merger and Partnership (M&P) มีโอกาสเห็นต่อเนื่องในปีนี้
  • TU (พาย) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.10 บาท) รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q67 ที่ 1,153 ล้านบาท (+13%YoY) ถ้าไม่รวมรายการพิเศษกำไรปกติจะอยู่ที่ 910 ล้านบาท (+13% YOY -25%Q0Q) ใกล้เคียงที่เราคาดไว้ โตจากปีก่อนเพราะการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง รวมกับกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นเป็น 17% จาก 15%
  • BH (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 310 บาท ผู้บริหารให้เป้ารายได้เติบโต 67 ที่ single-digit y-y โดยเราคาดแนวโน้มกำไรปกติอาจทรงหรือชะลอเล็กน้อย (-9 จาก Low Season แต่จะยังเติบโตแกร่ง Y-Y ได้ต่อเนื่องผู้บริหารอยู่ระหว่างเจรจากับรัฐบาลคูเวตและคาดว่าน่าจะกลับมาใช้ payment guarantee ตามเดิมได้ในไตรมาส 3/67 และยังคาดว่าจะมีโรงพยาบาลที่จะได้รับอนุมัติเหลือเพียง 2-3 แห่ง ซึ่งเชื่อว่า BH จะเป็น 1 ในนั้น เราคาดกำไรปกติปี 67 ที่ 7.8 พันล้านบาท +13% y-y

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 พ.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top