
การเมืองเกาหลีใต้ประสบกับวิกฤตครั้งใหญ่หลังจากที่อดีตประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมปีที่แล้ว ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายตามมามากมาย ประชาชนลุกฮือออกมาประท้วงทั่วประเทศ ภาพลักษณ์ของเกาหลีใต้ย่ำแย่ลงในสายตานักลงทุนต่างชาติ ผู้นำทั่วโลกแสดงความกังวลกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง เกิดการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกาศกฎอัยการศึก และนำไปสู่การถอดถอนยุน ซอก-ยอล ออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศในที่สุด
หลังการประกาศกฎอัยการศึก 6 เดือน เกาหลีใต้ก็ได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่เมื่อวันอังคารที่ 3 มิถุนายน ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่า “อี แจ-มยอง” ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตัวเต็งจากพรรคประชาธิปไตย (Democratic Party) ซึ่งเป็นพรรคแนวเสรีนิยม สามารถคว้าชัยชนะไปได้เบบไม่พลิกโผ
วัยเยาว์ที่ยากแค้น สู่ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน
อี แจ-มยอง วัย 61 ปี เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2506 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งบนภูเขาในเมืองอันดง จังหวัดคยองซังเหนือ เขาเป็นลูกคนที่ห้าจากทั้งหมดเจ็ดคนของครอบครัวที่ยากจน ด้วยความขัดสนทำให้เขาไม่ได้เรียนต่อในระดับมัธยมต้น และเข้าไปทำงานในโรงงานอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่อายุยังน้อย เขาได้รับอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมร้ายแรงถึงสองครั้ง คือ นิ้วมือถูกสายพานโรงงานดึงเข้าไป และข้อมือถูกเครื่องอัดจนบาดเจ็บถาวรเมื่ออายุ 13 ปี อย่างไรก็ดี เขาไม่คิดละทิ้งการเรียน จึงพยายามสอบเทียบจนจบมัธยมปลายและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุด เขาศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุงอัง โดยได้รับทุนการศึกษาเต็มจำนวน และสอบผ่านเนติบัณฑิตในปี 2529 หลังจากนั้นได้อุทิศตนทำงานเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนนานเกือบ 20 ปี ด้านชีวิตส่วนตัว เขาแต่งงานกับภรรยา คิม ฮเย-คยอง และมีบุตรสองคน
เส้นทางสายการเมือง
อี แจ-มยอง เริ่มเข้าสู่แวดวงการเมืองในปี 2548 โดยเข้าร่วมพรรคอูรี (Uri Party) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพรรคประชาธิปไตยในปัจจุบัน จากนั้นได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองซองนัมในปี 2553 ต่อมาได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการจังหวัดคยองกีในปี 2561 ในระหว่างนั้นเอง เขาได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนในการรับมือกับโควิด-19 ด้วยการยืนหยัดแจกเงินเยียวยาให้ประชาชนแบบถ้วนหน้า จนเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลาง
อี แจ-มยอง เข้าใกล้ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2564 โดยเขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคประชาธิปไตย แต่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคมปี 2565 เขาพ่ายแพ้ให้กับยุน ซอก-ยอล ไปอย่างฉิวเฉียดด้วยคะแนนที่ห่างกันน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ต่อมาในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เขาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปไตย ในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านหลัก อี แจ-มยอง มีความขัดแย้งกับยุน ซอก-ยอล รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยฝ่ายค้านมักคัดค้านร่างงบประมาณและกฎหมายสำคัญ ทำให้รัฐบาลทำงานได้ยาก วิกฤตความขัดแย้งดังกล่าวสะสมจนยุน ซอก-ยอล ประกาศกฎอัยการศึกในเดือนธันวาคม 2567 โดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้กับ “กลุ่มต่อต้านรัฐ” และผู้ฝักใฝ่เกาหลีเหนือ
การประกาศกฎอัยการศึกกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญสำหรับอี แจ-มยอง โดยเขาไลฟ์สดเรียกร้องให้ประชาชนออกมารวมตัวประท้วงหน้าอาคารรัฐสภาในกรุงโซล และตัวเขาเองได้ปีนรั้วเข้าสภาพร้อมสส.ฝ่ายค้าน เพื่อลงมติยกเลิกกฎอัยการศึก จากนั้นพรรคประชาธิปไตยได้ยื่นญัตติถอดถอนยุน ซอก-ยอล ซึ่งนำไปสู่การปลดออกจากตำแหน่งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากนั้นไม่กี่วัน อี แจ-มยองได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยเพื่อสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแบบเต็มตัว และในการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาก็ได้รับชัยชนะท่วมท้นด้วยคะแนนเสียง 49.42% หรือ 17.3 ล้านเสียง ขณะที่คิม มุน-ซู คู่แข่งจากพรรคพลังประชาชน (PPP) ได้ไป 41.15% และยังทำลายสถิติคะแนนเสียงสูงสุดในการเลือกตั้งประธานาธิบดี แซงหน้ายุน ซอก-ยอล ที่เคยได้ไป 16.39 ล้านเสียงในการเลือกตั้งปี 2565 นอกจากนี้ การเลือกตั้งครั้งล่าสุดยังมีอัตราการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึง 79.4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 28 ปี
ต้านรัฐประหาร
ไม่นานนักก่อนที่การนับคะแนนจะเสร็จสิ้นลง แต่มีแนวโน้มว่าอี แจ-มยอง จะชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอนแล้ว เขาได้กล่าวต่อผู้สนับสนุนที่มารวมตัวกันใกล้รัฐสภาในกรุงโซลว่า ภารกิจแรกหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีคือ การจัดการกับความวุ่นวายที่เกิดจากการประกาศกฎอัยการศึก พร้อมยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ให้มีการรัฐประหารที่คุกคามประชาชนเกิดขึ้นอีก ตลอดจนดำเนินการฟื้นฟูประชาธิปไตย และสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะได้รับความเคารพในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย
คำประกาศดังกล่าวสอดคล้องกับสิ่งที่เขาเคยพูดก่อนการเลือกตั้งว่า เขาจะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อทำให้การประกาศกฎอัยการศึกทำได้ยากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายในการป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการเมืองขึ้นอีก “ศักดิ์ศรีของชาติเราเสื่อมลงแล้ว แต่การประกาศกฎอัยการศึกยังอาจเกิดขึ้นได้ เราจึงจำเป็นต้องวางระบบเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก” เขากล่าว พร้อมกับเน้นย้ำว่าผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
ฟื้นสัมพันธ์เกาหลีเหนือ
อีกหนึ่งประเด็นที่อี แจ-มยอง ให้ความสำคัญคือความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ โดยเขาประกาศว่าจะสร้างคาบสมุทรเกาหลีที่สงบสุขและมั่นคง ซึ่งสองเกาหลีสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยเน้นย้ำว่า “ในขณะที่เรายังคงรักษาความสามารถในการป้องกันประเทศเพื่อยับยั้งเกาหลีเหนือ ผมจะผลักดันให้มีการเจรจาและการสื่อสารระหว่างสองเกาหลี ด้วยความเชื่อที่ว่า ความมั่นคงที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การชนะสงคราม แต่อยู่ที่การป้องกันไม่ให้เกิดสงครามขึ้น สองเกาหลีต้องอยู่ร่วมกันและจับมือกันเพื่อหนทางสู่ความเจริญร่วมกัน ผมจะทำให้สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีมั่นคง เพื่อบรรเทาความเสี่ยงและไม่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนย่ำแย่ลง”
ก่อนหน้านี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง อี แจ-มยอง ประกาศว่าจะผลักดันให้มีการฟื้นฟูช่องทางการสื่อสารระหว่างสองเกาหลี รวมถึงการเปิด “สายด่วนทางทหาร” (Military Hotline) อีกครั้ง นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการกระทำที่ก่อให้เกิดความตึงเครียด ร่วมกันบริหารจัดการสถานการณ์อย่างมีเสถียรภาพ และมุ่งสู่สันติภาพที่ปลอดอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าโอกาสในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลียังคงริบหรี่ เนื่องจากเกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับรัสเซีย ซึ่งทำให้เกาหลีเหนือแทบไม่มีแรงจูงใจที่จะต้องร่วมมือกับเกาหลีใต้
ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม
อี แจ-มยอง ให้คำมั่นสัญญาว่า นับตั้งแต่วินาทีที่ได้รับการยืนยันชัยชนะในการเลือกตั้ง เขาจะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา และดูแลปากท้องของประชาชนให้ดีขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้มีความสามัคคีในสังคม โดยเน้นย้ำว่าจะไม่ยอมให้การแบ่งแยกหรือความเป็นศัตรูเกิดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยกเพศ พื้นถิ่น อายุ หรืออาชีพ “ถึงแม้การเมืองจะทำให้เรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ประชาชนไม่ควรถูกแบ่งแยก หน้าที่ของประธานาธิบดีคือการรวมประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เขากล่าว
พลิกโฉมตลาดหุ้น
ก่อนการเลือกตั้งครั้งนี้ อี แจ-มยอง ให้คำมั่นว่าจะแก้ปัญหา “Korea Discount” ที่กดทับมูลค่าของบริษัทเกาหลีใต้มานาน โดยปรากฏการณ์ Korea Discount หมายถึงการที่หุ้นบริษัทเกาหลีใต้มักถูกประเมินมูลค่าต่ำกว่าบริษัทในระดับเดียวกันทั่วโลก โดยปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างการถือหุ้นที่กระจุกตัวในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ควบคุมโดยครอบครัว (แชโบล) ซึ่งมักถูกวิจารณ์ว่าให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของกลุ่มตนเหนือผู้ถือหุ้นรายย่อย
นอกจากนี้ อี แจ-มยอง ยังให้คำมั่นว่าจะวางโรดแมปเพื่อให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ได้รับการยอมรับและจัดอันดับเป็น “ตลาดพัฒนาแล้ว” (Developed Market) โดย MSCI ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดัชนีระดับโลก และยังประกาศว่าจะเดินหน้าปราบปรามการปั่นหุ้นและการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ในตลาดทุนอย่างจริงจัง
ซื้อเวลาเจรจาการค้าสหรัฐฯ
ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง อี แจ-มยอง ไม่เคยแสดงความคิดเห็นเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ จนกระทั่งหนึ่งวันก่อนการเลือกตั้ง เขากล่าวเพียงว่า เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี รัฐบาลชุดใหม่ของเกาหลีใต้อาจใช้ข้ออ้างเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองตลอดหกเดือนที่ผ่านมา เพื่อ “ซื้อเวลา” ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
เกาหลีใต้พยายามศึกษาแนวทางการเจรจาการค้าของประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่นและจีน เพื่อหาวิธีต่อรองกับสหรัฐฯ โดยเกาหลีใต้มีอุตสาหกรรมสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาและอาจนำมาต่อรองได้ เช่น อุตสาหกรรมการต่อเรือและเทคโนโลยี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในการประชุม G7 ที่แคนาดาช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้ เกาหลีใต้อาจได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่อี แจ-มยอง อาจขอขยายเวลาในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
อนาคตยังไม่แน่นอน
แม้ว่าจะไต่เต้าจนถึงตำแหน่งผู้นำประเทศ แต่ก็ใช่ว่าอี แจ-มยอง จะมีประวัติขาวสะอาดไร้มลทิน สำหรับชีวิตส่วนตัวนั้น เขาเคยมีคดีเมาแล้วขับในปี 2547 และถูกกล่าวหาเรื่องความสัมพันธ์นอกสมรสในปี 2561 ส่วนชีวิตการเมืองก็มีคดีไม่น้อย ซึ่งรวมถึงการถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการคอร์รัปชัน การติดสินบน และการละเมิดความไว้วางใจ โดยเชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาที่ดินในปี 2566 นอกจากนี้ เขายังถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลเท็จระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2564 โดยเมื่อปีที่แล้วศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีความผิดจริง และลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา ต่อมาศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้ง ศาลฎีกาได้กลับคำตัดสินและส่งเรื่องกลับไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่อีกครั้ง โดยการพิจารณาคดีถูกเลื่อนออกไปจนกว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้น ดังนั้น หลังจากนี้เขาอาจถูกพิพากษาลงโทษในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีก็เป็นได้
อนาคตการเมืองของเกาหลีใต้จึงยังมีความไม่แน่นอน แม้ว่าจะได้ประธานาธิบดีคนใหม่แล้วก็ตาม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มิ.ย. 68)
Tags: In Focus, SCOOP, ประธานาธิบดีเกาหลีใต้, ยุน ซอกยอล, อี แจ-มยอง, เกาหลีใต้