
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมิน GDP ไทยในปี 2568 มีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่า 1.4% หากต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงกว่าหลายประเทศจะกระทบต่อการส่งออกให้หดตัวลึกขึ้น และทำให้การลงทุนจากต่างชาติชะลอ ตามด้วยการลงทุนเอกชนหดตัวมากขึ้น ขณะที่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 68 โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมิน เนื่องจากปัจจัยลบที่เข้ามากดดันเพิ่มขึ้น อาทิ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง และสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ก.ค.68 รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ฉบับใหม่ โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ส.ค.68 โดยประเทศไทยยังคงไม่ได้รับการลดอัตราภาษีนำเข้าจากเดิมที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 ที่อัตรา 36% ทำให้สินค้าส่งออกไทยจะโดนอัตราภาษีฯ ที่สูงกว่าประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
สำหรับอัตราภาษีที่ 36% ยังสามารถเจรจาได้ ขึ้นกับเงื่อนไขการค้าและที่ไม่ใช่การค้าที่สหรัฐฯ ยอมรับ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า หากประเทศต่าง ๆ เปิดตลาดของตนเอง อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนภาษีเหล่านี้ อาจมีการแก้ไขได้ทั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ซึ่งหากการเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อไป ข้อตกลงสุดท้ายอาจจะต้องมีการเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงข้อตกลงที่ไม่ใช่ภาษีอื่นๆ ซึ่งต้องมีการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติม
หากไทยโดนภาษีที่ 36% เสี่ยงเสียตลาดสหรัฐฯ ให้กับประเทศในภูมิภาคที่ได้รับภาษีต่ำกว่า และยังต้องติดตามผลกระทบจากภาษีรายอุตสาหกรรมตามมาตรา 232 ที่จะส่งผลกระทบเพิ่มเติม
การที่ไทยถูกเรียกเก็บยังจะสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งส่งผลให้สินค้าไทยมีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า ปริ้นเตอร์ เครื่องปรับอากาศ ปลาและกุ้งแปรรูป เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การ re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านประเทศไทย โดยมีการใช้ local content ต่ำ มีแนวโน้มจะชะลอลงไปด้วย โดยเฉพาะสินค้าเครื่องจักรกลที่เห็นการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กับการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงขึ้น ซึ่งทำให้การนำเข้าสินค้าที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านก็จะชะลอลงเช่นกัน
นอกจากนี้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากกว่าหลายประเทศในภูมิภาคยิ่งซ้ำเติมการส่งออก โดยค่าเงินบาทแข็งค่าจากระดับต้นปีที่ราว 34.50 บาท/ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 32.50 บาท ณ วันที่ 7 ก.ค.68 หรือแข็งค่าไปแล้วราว 5%YTD นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นอีกปัจจัยกดดันต่อความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทย
สำหรับภาษีนำเข้าสหรัฐฯ รายอุตสาหกรรมตามมาตรา 232 ยังเป็นความเสี่ยงสำคัญอยู่ โดยขณะนี้สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการสอบสวนสินค้าที่อาจเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ภายใต้มาตรา 232 อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ ทองแดง ยา และไม้แปรรูป เป็นต้น ซึ่งตามกรอบระยะเวลาคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2568 ไปจนถึงต้นปี 2569 หากมีการเก็บภาษีเพิ่มเติมจะยิ่งกดดันภาพรวมการส่งออกไทยเพิ่มขึ้นในปีหน้า เนื่องจากมีสัดส่วนต่อภาพรวมการส่งออกไทยค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์ข้างหน้าที่ต้องติดตามทั้งความพยายามในการเจรจาการค้ารอบใหม่ของไทยก่อน 1 ส.ค.68 ที่อัตราภาษีนำเข้า 36% จะมีผลบังคับใช้รวมถึงการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีน ในวันที่ 12 ส.ค.68 หลังการชะลอขึ้นภาษี 90 วันสิ้นสุดลง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะประเมินเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าอันใกล้ และจะทบทวนตัวเลขประมาณการ GDP อีกครั้ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ค. 68)