มองมุมต่าง: ดันกฎหมายปั่นหุ้นมอบดาบ ก.ล.ต.กำราบโจรใส่สูท

ความแยบยล ในวิธีการปั่นหุ้น ของกลุ่มคนที่ต้องการหาผลประโยชน์ในตลาดทุน มีเพิ่มมากขึ้น ย้อนกลับไป ดูผลการกล่าวโทษของ สำนักงานก.ล.ต.ในกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ที่มีหลากหลายเคส

แต่เคสที่จะยกตัวอื่นและกล่าวถึง คือ “หุ้นไอพีโอ” ที่ทำให้ราคาหุ้นดูร้อนแรงผิดธรรมชาติ กลายเป็นขบวนการที่ทำกันเป็น “กลุ่ม” และเป็นที่รู้กันดีในวงการหุ้นสีเทา โดยเฉพาะหุ้นไอพีโอขนาดเล็กที่มักถูกเลือกเป็นเป้าหมายสร้างราคาเปิดให้พุ่งสูง ก่อนจะทยอยปล่อยของใส่มือรายย่อยให้ติดดอยตามสคริปต์เดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วิธีการที่ใช้ไม่ซับซ้อนแต่แยบยล เปิดพอร์ตใหม่จำนวนมากในชื่อคนอื่น ๆ ที่บางคนไม่เคยแม้แต่เล่นหุ้นมาก่อน แต่กลับได้หุ้นไอพีโอจัดสรรมาในปริมาณมากอย่างน่าประหลาด

ทั้งที่โดยปกติแล้ว โบรกเกอร์ควรจัดสรรหุ้นตามลำดับความสำคัญของลูกค้าเก่าตามปริมาณการเทรดหรือสถานะทางการเงิน แต่นี่คือ “บัญชีใหม่ ลูกค้าใหม่” ที่กลับได้ของแบบเต็มไม้เต็มมือ เหมือนถูกจัดสรรมาเพื่อภารกิจบางอย่าง

จากนั้นเมื่อหุ้นเริ่มเทรด บัญชีเหล่านี้ก็ถูกใช้เป็นเครื่องจักรในการส่งคำสั่งซื้อขายแบบวนลูป ซื้อขายไขว้กันเองในบัญชีม้า หรือยิงคำสั่งด้วยโปรแกรมอัตโนมัติ เพื่อสร้างภาพลวงว่ามีแรงซื้อหนาแน่น ดันราคาให้ขึ้นไปตามเป้าที่วางไว้ ก่อนจะ “โปรยหุ้น” เทขายใส่มือคนที่หลงเชื่อว่าราคานั้นเกิดจากอุปสงค์จริง ๆ

ผู้เสียหายก็คือรายย่อยที่เข้ามาตามกระแสด้วยความโลภ หวังเก็งกำไรสั้น ๆ แต่กลับกลายเป็นคนถือหุ้นแพง ขณะที่กลุ่มทำราคากวาดกำไรแล้วหายวับไปกับสายลม

สิ่งที่น่าตกใจก็คือขบวนการเหล่านี้ทำกันอย่างโจ่งแจ้ง มีการวางแผน เปิดบัญชีม้า และหมุนเงินกันเป็นเครือข่าย จนคนในวงการยังเอ่ยปากว่า “ทำเป็นอาชีพ”

สำนักงาน ก.ล.ต.ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุน พยายามกวาดล้างขบวนการลักษณะนี้ โดยอาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 244/3 กำหนดว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการโดยประการที่อาจก่อให้เกิดราคาซื้อขายหรือปริมาณการซื้อขายที่ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด” หากฝ่าฝืนมีโทษอาญา จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับสูงสุดสามเท่าของผลประโยชน์ที่ได้จากการกระทำผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ปัญหาสำคัญคือ กฎหมายไทยไม่ให้อำนาจ ก.ล.ต. ฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้โดยตรง ก.ล.ต. ทำได้เพียง “กล่าวโทษ” หรือส่งเรื่องให้หน่วยงานสอบสวน เช่น

-กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้กระทรวงยุติธรรม หรือ

-บก.ปอศ. (กองปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ) ซึ่งสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

หน่วยงานเหล่านี้จะเป็นผู้สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งต่อให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าจะ “สั่งฟ้อง” หรือไม่!?

ถ้าพนักงานสอบสวนหรืออัยการเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอ คดีก็อาจจบลงด้วยคำว่า “ไม่สั่งฟ้อง” แม้ ก.ล.ต. จะมั่นใจว่าพยานหลักฐานชัดเจนก็ตาม

นี่คือเหตุผลที่หลายคดีดัง แม้จะเริ่มต้นอย่างครึกโครม มีการอายัดทรัพย์และออกข่าวเสียงดัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายคดีค่อย ๆ เงียบหาย บางคดีถูกตีตก บางคดีผู้ต้องหาพ้นข้อกล่าวหาแบบน่าประหลาดใจ สังคมจึงตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบยุติธรรมในตลาดทุนไทย

ถ้าต้องการอุดช่องโหว่นี้ ก.ล.ต. พยายามผลักดันแก้ไขกฎหมายเพื่อให้อำนาจฟ้องคดีอาญาโดยตรง เช่นเดียวกับหน่วยงานกำกับในต่างประเทศอย่าง ก.ล.ต.สหรัฐ (SEC) หรือ MAS ของสิงคโปร์ ซึ่งสามารถยื่นฟ้องต่อศาลเองได้โดยไม่ต้องรอผ่านกระบวนการสอบสวนหลายทอด

หากไม่มีการปฏิรูปกฎหมายหรือสร้างกลไกคุ้มครองนักลงทุนที่เข้มแข็งกว่านี้ ก็เกรงว่าในอนาคตเราจะยังเห็นขบวนการปั่นหุ้นแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำ ๆ รายย่อยยังคงเป็นเหยื่อ และคดีใหญ่ ๆ จะจบลงแบบ “คว้าน้ำเหลว” ทั้งที่หลักฐานกองอยู่ตรงหน้า สร้างบาดแผลซ้ำเติมความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย

ธิติ ภัทรยลรดี

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 68)