
เมื่อเดือนที่แล้ว นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้ออกคำสั่งกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมานับตั้งแต่ที่อุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์ได้ปักหลักและเปิดดำเนินการในประเทศ
เดอะ คอนเวอร์เซชั่น (The Conversation) เว็บไซต์ข่าวและบทวิเคราะห์อิงงานวิจัย รายงานว่า หลังจากที่ตำรวจเริ่มบุกเข้าตรวจค้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ เหล่าอาชญากรไซเบอร์ก็ปั่นป่วน โดยพากันเตือนพรรคพวกผ่านช่องทาง Telegram ให้ระวังการกวาดล้างของทางการ รายงานยังระบุด้วยว่า บางข้อความอ้างว่าตำรวจได้ตั้งด่านทั่วประเทศเพื่อจับกุมผู้ที่ไม่มีหนังสือเดินทางและเรียกเงินใต้โต๊ะเพื่อแลกกับการปล่อยตัว นอกจากนี้ยังมีวิดีโอที่แสดงให้เห็นถึงการอพยพครั้งใหญ่จากอาคารบางแห่งด้วย
เพียงไม่กี่สัปดาห์ รัฐบาลกัมพูชาได้ออกมาประกาศความสำเร็จของปฏิบัติการดังกล่าว โดยระบุว่าทางการได้บุกตรวจค้นอาคารสถานที่เกือบ 140 แห่ง นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 3,000 คนจากอย่างน้อย 19 ประเทศ ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวจีนและเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ทางการกัมพูชาระบุว่า ในบรรดาผู้ที่ถูกจับกุมนั้น มีเพียง “ไม่กี่ราย” ที่ถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่สมัครใจ ซึ่งขัดกับงานวิจัยที่เดอะ คอนเวอร์เซชั่นเคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า มีผู้คน “หลายพันคน” ถูกหลอกลวงหรือค้ามนุษย์เข้ามาในสถานที่เหล่านี้ และถูกบังคับใช้แรงงานเยี่ยงทาส
ปฏิบัติการครั้งนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายประเทศ รวมถึงจีน ซึ่งพลเมืองของตนเองตกเป็นเหยื่อ แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงมีข้อกังขาว่า ความพยายามดังกล่าวนั้นมาพอที่จะกำจัดภัยคุกคามเหล่านี้ให้สิ้นซากได้ตามที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศไว้หรือไม่
แก๊งใหญ่ยังลอยนวล
ปฏิบัติการครั้งล่าสุดนี้ครอบคลุมทั่วประเทศ แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่ส่วนใหญ่จำกัดอยู่แค่เมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางหลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงเมืองปอยเปต ซึ่งไทยได้ตัดไฟและอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม รูปแบบเดิม ๆ เริ่มปรากฏให้เห็นเช่นเดียวกับในอดีต นั่นคือ ทางการมุ่งเป้าไปที่แก๊งขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ขณะที่ขบวนการใหญ่กลับไม่ถูกแตะต้อง
มีรายงานว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่หลายแห่งได้รับคำเตือนล่วงหน้าและอพยพออกไปก่อนแล้ว โดยจำนวนมากย้ายไปที่อาคารขนาดใหญ่ใกล้ชายแดนเวียดนาม และดำเนินการหลอกลวงผู้คนต่อไปได้โดยไม่ถูกรบกวน
หลิง หลี่ นักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยคา’ฟอสคาริ เมืองเวนิส หนึ่งในผู้เขียนรายงาน ได้เข้าร่วมทีมช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เมื่อต้นเดือนส.ค. เพื่อพยายามช่วยชายชาวจีนที่อ้างว่าถูกหลอกไปในอาคารแห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาของจังหวัดมณฑลคีรี ใกล้ชายแดนเวียดนาม โดยผู้เขียนเล่าว่าชายคนนี้ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของตนได้ แต่จากการส่งข้อความกับองค์กรช่วยเหลือเป็นเวลาหลายเดือน ทีมงานจึงสามารถระบุตำแหน่งที่เขาถูกกักขังได้ทีละน้อย และยังประเมินได้ถึงขนาดขององค์กรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
หลังจากการกวาดล้างผ่านไปหลายสัปดาห์ หลิงได้เข้าร่วมกับทีมงานเพื่อลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์ ซึ่งจากยอดเขาในตอนกลางคืน พวกเขาเห็นแสงไฟกะพริบจากอาคารหลายหลังที่ล้อมรอบด้วยป่าโปร่ง แต่เนื่องจากมีถนนเข้าถึงเพียงสายเดียว ทีมงานจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่มีข้อสงสัยเลยว่าสถานที่ดังกล่าวมีการดำเนินงานอย่างคึกคัก เช่นเดียวกับอีกหลายแห่งในพื้นที่ที่หลิงได้สังเกตเห็นในระหว่างการเดินทาง
วงจรที่ยังไม่ถูกทำลาย
รายงานระบุว่า การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ผ่านมาล้มเหลวเพราะไม่ได้จัดการกับสองต้นตอหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้เฟื่องฟู หนึ่งคือ เครือข่ายท้องถิ่นที่ทรงอิทธิพลซึ่งให้การปกป้องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสองคือ โครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนของอาคาร
ตราบใดที่ผู้มีอิทธิพลยังคงไม่ถูกแตะต้อง และสถานที่เหล่านี้ยังคงอยู่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะสามารถกลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็วเมื่อแรงกดดันจากทางการลดลง เพราะการกวาดล้างเป็นระยะ ๆ อาจสร้างความปั่นป่วนได้ชั่วคราว แต่ผู้ที่ถูกจับกุมมักจะเป็นแรงงานระดับล่าง ไม่ใช่หัวหน้าแก๊ง เมื่อการกวาดล้างจบลง กิจกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ง่าย ๆ อุปกรณ์ที่ถูกยึดก็สามารถหามาทดแทนได้ เช่นเดียวกับแรงงาน
การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงจึงต้องมีมาตรการในระยะยาวเพื่อจัดการกับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการคอร์รัปชันและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ และต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลทั่วโลก รวมถึงบริษัทด้านการเงินและเทคโนโลยีที่ผลิตภัณฑ์และบริการของตนถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์นำไปใช้ประโยชน์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)