
สำนักสถิติแรงงาน (BLS) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยในวันอังคาร (12 ส.ค.) ว่า ค่าโดยสารเครื่องบินปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% ในเดือนก.ค. หลังจากที่ลดลง 0.1% ในเดือนมิ.ย. โดยค่าโดยสารเครื่องบินปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าสายการบินต่าง ๆ เริ่มมีอำนาจในการกำหนดราคามากขึ้น หลังจากที่สายการบินได้ปรับลดความจุของเที่ยวบินเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเดินทางที่ซบเซา
สัญญาณที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของค่าโดยสารเครื่องบินนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สายการบินต้องเผชิญกับการชะลอตัวของอัตรากำไรเป็นเวลานานหลายเดือนอันเนื่องมาจากการปรับลดค่าโดยสาร โดยความต้องการเดินทางที่อ่อนแอเนื่องจากนักท่องเที่ยวในประเทศต่างต้องการประหยัดเงินนั้น ได้บีบให้สายการบินต้องลดราคาตั๋ว แม้จะเป็นฤดูท่องเที่ยวในช่วงหน้าร้อนก็ตาม
ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มสายการบินพุ่งขึ้นในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันอังคาร โดยหุ้น United Airlines, หุ้น American Airlines และหุ้น Delta Air Lines พุ่งขึ้นระหว่าง 9%-12% ขณะที่สายการบินต้นทุนต่ำอย่าง Southwest Airlines พุ่งขึ้น 5.7% นอกจากนี้ หุ้นสายการบินขนาดเล็กก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้น Alaska Air ดีดตัวขึ้น 9.9% และหุ้น JetBlue Airways พุ่งขึ้น 12%
ในช่วงที่ผ่านมานั้น ความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายภาษีศุลกากรและมาตรการลดงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งผลให้นักท่องเที่ยวพากันจำกัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและทบทวนแผนการเดินทางของตน และนับตั้งแต่นั้น สายการบินต่าง ๆ ได้ลดจำนวนที่นั่งและปรับเปลี่ยนเส้นทางบินเพื่อรักษาอำนาจในการกำหนดราคาและปกป้องอัตรากำไรของบริษัท
อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของค่าโดยสารในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ช่วยให้นักลงทุนมีความหวังว่าการบริหารความจุของเที่ยวบินอย่างมีวินัยจะช่วยให้สายการบินสามารถสร้างเสถียรภาพด้านราคาและผลกำไรได้
นอกจากนี้ ในช่วงที่มีการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2568 ในเดือนก.ค. บรรดาผู้บริหารสายการบินรายใหญ่ต่างแสดงความเชื่อมั่นในความสามารถของอุตสาหกรรมสายการบินในการลดความจุของเที่ยวบินและปรับเพิ่มค่าโดยสารในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 68)