
โบรกเกอร์ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” หุ้น บมจ.สเตคอน กรุ๊ป [STECON] พร้อมปรับประมาณการกำไรปกติในปี 68-69 หลังอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ดีขึ้น โดยงบครึ่งปีแรกออกมาดีกว่าคาด และบริษัทไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูจากการปรับวิธีการบันทึกทางบัญชี
ปี 68 คาดว่า STECON จะมีงานใหม่ตามเป้าหมาย 5 หมื่นล้านบาท หลังจากเซ็นงานใหม่เพิ่มเติม 2.6 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรก และครึ่งปีหลีงมีโอกาสเซ็นงานใหม่เพิ่มเติม เช่น Data Center ที่กำลังดีลอยู่ 1-2 ราย ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog)สูงถึง 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมโครงการสนามบินอู่ตะเภางานในมือก็ยังสูงถึง 1 แสนล้านบาท เพียงพอต่อการสร้างรายได้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้
ราคาหุ้น STECON ช่วงบ่ายเคลื่อนไหวอยู่ที่ 7.40 บาท
อันดับ | โบรกเกอร์ | คำแนะนำ | ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) |
---|---|---|---|
1 | ดาโอ | ซื้อ | 10.00 |
2 | กสิกรไทย | ซื้อ | 9.86 |
3 | ฟินันเซีย ไซรัส | ซื้อ | 9.50 |
4 | พาย | ซื้อ | 9.40 |
5 | ดีบีเอสฯ | ซื้อ | 9.30 |
6 | บัวหลวง | ซื้อ | 9.20 |
7 | เอเซียพลัส | Overweight | 9.00 |
8 | ยูโอบีเคย์เฮียน | ซื้อ | 9.00 |
9 | โกลเบล็ก | ซื้อ | 8.00 |
10 | หยวนต้า | ซื้อ | 8.00 |
นักวิเคราะห์จาก บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มีมุมมอง STECON เชิงปัจจัยพื้นฐานว่าแนวโน้มเติบโต มีต้นทุนดีขึ้น การตั้งสำรองจบแล้ว และปี 68 กลับมามีกำไร ขณะเดียวกัน STECON เดินหน้าธุรกิจใหม่ คือ รุกธุรกิจน้ำประปา เพื่อสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) มากขึ้น รวมถึงการก่อสร้างและลงทุน Data Center ซึ่ง STECON กำลังดีล DATA Center อยู่ 1-2 ดีล โดยเห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสเป็นฐานการลงทุน DATA Center ซึ่งก็เป็นโอกาสของบริษัทฯ ด้วย
แนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 3/68 เบื้องต้นคาดว่าจะชะลอลง QoQ จากฐานสูง เพราะมีการรับรู้เคลมเงินประกันเข้ามา 400 ล้านบาทในไตรมาส 2/68 แต่คาดจะพลิกจากขาดทุนในปีก่อน โดยรายได้ก่อสร้างคาดว่าจะเร่งตัวขึ้น QoQ ขึ้นระดับ 9 พันล้านบาท จากการเร่งรับรู้รายได้บางโครงการมากขึ้น อาทิ โรงไฟฟ้าโซลาร์, งาน Data Center เป็นต้น
ขณะที่ GPM คาดมีโอกาสเร่งตัวขึ้น QoQ และ YoY ตามการเร่งรับรู้รายได้โครงการที่มีอัตรากำไรสูงมากขึ้น และคาด SG&A/Sales ปรับลง QoQ จากค่าใช้จ่ายพนักงานเริ่มลดลง นอกจากนี้ บริษัทจะไม่ต้องมีรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูแล้ว (ปีก่อนรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมที่ 142 ล้านบาท)
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) สูงถึง 1.27 แสนล้านบาท หากไม่รวมโครงการสนามบินอู่ตะเภา งานในมือก็ยังสูงอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท แม้งานภาครัฐจะชะลอตัวจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่งานในมือมีมูลค่าสูงก็เพียงพอสร้างรายได้ในช่วง 2-3 ปี
บริษัทมีการเซ็นงานใหม่เพิ่มเติม 2.6 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรก และจะเซ็นสัญญาเพิ่มอีกในครึ่งปีหลังราว 2 หมื่นล้านบาท เพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งปีที่ 5 หมื่นล้านบาท งานส่วนใหญ่เป็นงานภาคเอกชน ส่วนงานขนาดใหญ่ภาครัฐฯ ที่ ครม.อนุมัติแล้วและเตรียมเปิดประมูลในครึ่งปีหลังต้องติดตามต่อ ได้แก่ รถไฟสายสีแดงรังสิต-ธรรมศาสตร์ 6.5 พันล้านบาท, Motorway M5 M7 M9 รวม 9 หมื่นล้านบาท และรถไฟเร็วสูงโคราช-หนองคาย 3.4 แสนล้านบาท
บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 68 ที่ 3.2 หมื่นล้านบาทใกล้เคียงกับประมาณการของเรา โดยเราได้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 68-69 ขึ้น 75% เป็น 1,394 ล้านบาท และ 1,267 ล้านบาท (-9.1% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐาน GPM และส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมที่ดีขึ้น หลังงบครึ่งแรกของปี 68 ออกมาดีกว่าคาด และบริษัทไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูจากการปรับวิธีการบันทึกทางบัญชี
ผลของการปรับประมาณการกำไรขึ้น และเราปรับไปใช้ราคาเหมาะสมกลางปี 69 ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 8.00 บาท (อิง PBV ที่ 0.65 เท่า เทียบเท่า -1.5 SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต) ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER25 เพียง 7 เท่า และบน PBV25 เพียง 0.5 เท่ามองว่าอยู่ในโซนถูก คงคำแนะนำ “ซื้อ” เชิงกลยุทธ์ ตลาดอาจยังกังวลต่อความไม่แน่นอนด้านปัจจัยการเมือง หากรับความเสี่ยงได้ต่ำอาจรอเข้าลงทุนหลังปัจจัยดังกล่าวมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงเดือน ก.ย.
บล.ดาโอ ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของ STECON ยังดีตามคาด โดยบริษัทคงเป้ารายได้ปี 68 ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท โตอย่างน้อย +5% YoY (เราคาด 3.2 หมื่นล้านบาท โต +7% YoY) และคงเป้างานเซ็นสัญญาใหม่ที่ 5 หมื่นล้านบาท โดย YTD เซ็นแล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่มองว่า H2/68 progress งานยังดีต่อเนื่องและมีโอกาสเซ็นงานใหม่เพิ่มเติม เช่น Data Center
ขณะที่ SG&A ในไตรมาส 2/68 ปรับตัวสูงขึ้น หลักๆ จากค่าใช้จ่ายประมาณการโบนัสและที่ปรึกษาธุรกิจใหม่ อย่างไรก็ตามมองว่าแนวโน้ม H2/68 จะอ่อนตัว HoH ส่วนเงินประกันบึงหนองบอนที่ได้รับในไตรมาส 2/68 ที่ 400 ล้านบาท บริษัทมองว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสม ขณะที่เงินตั้งสำรองโครงการที่เหลือ 200+ ล้านบาท คาดว่าจะใช้ตามแผนและไม่มีการกลับตั้งสำรอง
สำหรับโครงการอู่ตะเภา 2.7 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันยังรอรายละเอียดในประเด็นโครงการรถไฟ 3 สนามบิน หากไม่คืบหน้าบริษัทอาจพิจารณาไม่ขยาย long-stop date ของสัญญาในวันที่ 29 ส.ค. (เรายังไม่ได้รวมใน backlog อยู่แล้ว) ส่วนประเด็นแรงงานกัมพูชากระทบค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนในสังกัดโดยตรงเพียง 3% ขณะที่ subcontractor ส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวไทยและเมียนมา
เราคงประมาณการกำไรปกติปี 68 ที่ 847 ล้านบาท ฟื้นจากขาดทุนปกติปี 2567 ที่ -1.3 พันล้านบาท สำหรับไตรมาส 3/68 เบื้องต้นประเมินแนวโน้มกำไรปกติจะโต YoY, QoQ โดยพลิกฟื้น YoY จาก GPM ดีขึ้นตาม project mix และไม่มีค่าใช้จ่าย ซ่อมแซมงานบึงหนองบอน รวมถึงในไตรมาส 3/68 ไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนสายสีชมพูและสายสีเหลืองแล้ว ตามการเปลี่ยนวิธีบันทึกทางบัญชีตั้งแต่ไตรมาส 2/68 ขณะที่ดีขึ้น QoQ หนุนโดยงานก่อสร้าง progress ดี ต่อเนื่อง และ SG&A มีโอกาสอ่อนตัวลง
คงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 10.00 บาท อิง 2025E core PER 18x (-1SD below 5-yr average PER) เราคงมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวผลการดำเนินงานปี 68 หนุนโดย 1) backlog สูงถึง 1 แสนล้านบาท, 2) GPM ดีขึ้นอย่างมากตาม project mix และการบริหารต้นทุนโครงการดีขึ้น และ 3) การหยุดรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนบริษัทร่วมสายสีชมพูและสายสีเหลือง
บล.กสิกรไทย ระบุว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์มีแนวโนม้ค่อนข้างบวกต่อ STECON ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออกภายใต้บริษัทร่วมทุน บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) คาดว่ารัฐบาลจะออกหนังสือแจ้งเริ่มงาน (NTP) ภายในวันที่ 29 ส.ค. มิฉะนั้นจะไม่ยอมขยายเวลาสัญญาณ และจะเรียกร้องค่าชดเชย
2) โครงการบึงหนองบอน (BNB) ใกล้แล้วเสร็จ งานที่เหลือคาดว่าจะครอบคลุมได้ด้วยงบประมาณสำรอง 3) STECON ลงทุน 150 ล้านบาทในสตารท์อัพ 2 รายด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างและโซลูชั่นระบบทำความเย็นสำหรับศูนย์ข้อมูล ซึ่งคาดว่าจะช่ว่ยปรับปรุงการควบคุมต้นทุน เช่น การวางแผนก่อสรางและการบริหารแรงงาน 4) ครึ่งแรกปี 2568 มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและได้ backlog ใหมเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายปี 68
โครงการ UTA ที่เป็นกลุ่มบริษัทที่ประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส [BTS] (40%), STECON (40%) และบมจ.การบินกรุงเทพ [BA] (20%) กลุ่มนี้ได้รับสัมปทานพัฒนาโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินในปี 63 อย่างไรก็ตาม โครงการมีความล่าช้า ส่วนใหญจากการรอเริ่มโครงการรถไฟความเร็วสูง ทั้งนี้ UTA กำหนดเส้นตายคือวันที่ 29 ส.ค.ซึ่ง STECON คาดว่ารัฐบาลจะออก NTP โดยไม่ต้องรอโครงการรถไฟและให้ผลประโยชน์ทดแทน มิฉะนั้นหากสัญญาถูกยกเลิกบริษัทฯ จะเรียกร้องเงิน 5 พันลบ.ที่จ่ายไปแล้วและตัดโครงการอู่ตะเภามูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาทออกจาก backlog แต่เราคาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อประมาณการรายได้ปี 68-69 เนื่องจากความก้าวหน้าของ backlog ที่มีอยู่ครอบคลุมไว้แล้ว
นอกจากนี้ เราได้รับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 68/69/70 ขึ้น 36%/43%/41% เพื่อสะท้อนการปรับประเภทการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองและสายสีชมพู ส่งผลให้ STECON จะไม่บันทึกส่วนแบ่งขาดทุนอีกต่อไป การลงทุนเหล่านี้จะถูกจัดประเภทเป็นการลงทุนระยะยาวในรูปแบบ FVOCI และการเปลี่ยนแปลงภายหลังจะไม่กระทบกับงบกำไรขาดทนุ
คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ STECON ด้วยราคาเป้าหมาย 9.86 บาท การปรับประเภทการลงทุนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าที่อิงสินทรัพย์ เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มจากอัตรากำไรขึ้นต้นสูงสุดตั้งแต่ปี 61 จากสัดส่วนโครงการที่เอื้ออำนวยในงานด้านพลังงานและรถไฟฟ้า เราคาดว่ารายได้ครึ่งหลังปี 68 จะยังคงเติบโต HoH อัตรากำไรยังอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ปัจจัยกดดันจากต้นทุน ซ่อมแซม BNB และส่วนแบ่งขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพูและสายสีเหลืองได้คลี่คลายแล้ว
การประเมินมูลค่า ราคาเป้าหมาย 9.86 บาทของเรามาจาก 6.41 บาทจากมูลค่าการถือหุ้นใน บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ [GULF] ใช้ราคาเป้าหมายของ GULF ที่ 61 บาท และมูลค่าธุรกิจก่อสราง 3.45 บาท โดยอิงราคาตลาดปัจจุบันของ GULF ที่ 47 บาท ราคาเป้าหมายที่อิงตลาดจะอยู่ที่ 8.37 บาท STECON ปัจจุบันซื้อขายด้วย Forward PER ปี 68 ที่ 8.59 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Forward PER 12 เดือนมากกวา 2SD
ปัจจัยเสี่ยง 1) ต้นทุนโครงการก่อสร้างเกินบานปลาย 2) ความไม่แน่นอนทางการเมือง และ 3) ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองและสีชมพู
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 68)