
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง จนแตะระดับ 31.70 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจจริงของประเทศ
การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
– ภาคการส่งออก ต้องเผชิญการแข่งขันที่ยากลำบาก เนื่องจากราคาสินค้าไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ส่งผลต่อยอดขายและรายได้จากต่างประเทศ
– ภาคการท่องเที่ยว ความแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ประเทศไทยมีต้นทุนการท่องเที่ยวสูงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดแรงจูงใจในการเดินทางมาไทย
– ภาคเกษตรกรรม เกษตรกรไทยที่พึ่งพาการส่งออก ได้รับผลกระทบหนักจากต้นทุนและรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าเงิน โดยเฉพาะข้าวนาปี และพืชไร่ที่กำลังจะออกมา
ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งรุนแรงกว่าประเทศอื่น หอการค้าไทย ชี้ว่า การแข็งค่าของเงินบาทครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจาก
1. เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในระยะต่อไป ทำให้ค่าเงินของหลายประเทศในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นโดยอัตโนมัติ
2. ปัจจัยด้านทองคำ ประเทศไทยมีการถือครองทองคำจำนวนมาก และราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขายทองคำออกมาเป็นเงินตราต่างประเทศ และแปลงกลับเป็นเงินบาท ส่งผลให้มีความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่ค้าอย่างผิดปกติ รวมถึงมี fund flow ที่เข้ามาประเทศด้วย ซึ่งอาจจะมาจากพวก Crypto ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่ซ้ำเติมความเปราะบาง ได้แก่
– มาตรการภาษีตอบโต้ (tariff) ที่หลายประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป กำลังทบทวนหรือพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย และยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากเงินบาทแข็ง
– ข้อจำกัดด้านการแทรกแซงค่าเงิน การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปดูแลค่าเงินบาทอย่างเข้มข้น อาจทำให้ไทยถูกเพ่งเล็งว่า “บิดเบือนค่าเงิน” โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเชื่อมโยงกับการเจรจาภาษีการค้า และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องวางนโยบายอย่างรอบคอบ
- จี้รัฐออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท แนะ ธปท.แยกดุลทองคำ
ที่ผ่านมา หอการค้าไทย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เคยเสนอแนวทางว่า ควรแยกดุลทองคำออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบต่อค่าเงินได้ตรงจุด พร้อมทั้งเสนอให้ ธปท. เข้ามาจัดการดูแลในส่วนนี้อย่างเป็นระบบ เพราะหากปล่อยให้กลไกค่าเงินผันผวนโดยไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย จะทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้า
“หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ แม้ภาครัฐจะใช้เงินทุนสำรองเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจต้องใช้เงินจำนวนมากและเสี่ยงต่อการสูญเปล่า โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง” นายพจน์ กล่าว
ดังนั้น หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้ รัฐบาล และ ธปท. เร่งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจจริง และไม่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
“เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ไม่ได้สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย แต่กลับทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน” นายพจน์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ย. 68)