ศาลฎีกาฯ สั่ง “ทักษิณ” กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปีเหตุกระบวนการส่งตัวไปรักษาไม่ชอบด้วยกม.

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี เนื่องจากศาลฯ เห็นว่ากระบวนการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาอาการป่วยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเตรียมส่งตัวนายทักษิณเข้าเรือนจำกรุงเทพ

ศาลฯ ระบุว่าการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายและต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ไม่ใช่เพียงการใช้อำนาจตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ แต่การส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 22 ส.ค.66 เป็นการอ้างเหตุฉุกเฉิน ทั้งที่อาการป่วยสามารถรักษาได้ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และจำเลยยังมีส่วนร่วมตัดสินใจรักษาตัวเอง เช่น ปฏิเสธการผ่าตัดบางกรณี

หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวนายทักษิณไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรคแดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำ โดยมีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจร่างกายขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลต่างประเทศ รวม 10 โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่

มีเพียง 3 โรคที่แพทย์ประจำทัณฑสถานเห็นว่านายทักษิณควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท และโรคหัวใจ เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งโรคไวรัสตับอักเสบบี ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับจึงมีความเห็นว่าจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาลภายนอกเรือนจำที่มีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ เพราะอยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของ น.พ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา

แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่าในคืนวันที่ 22 ส.ค.66 เวลา 22.00 น. นายทักษิณ แจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตได้ 148/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกชิเจนปลายนิ้ว 92 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวนอกเรือนจำและพัศดีเวรอนุญาต

จากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจำเพียง 200 เมตร ทั้งที่ตามระเบียบการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอน

นอกจากนี้ การส่งตัวนายทักษิณ ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉินเนื่องจากมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่าเมื่อส่งตัวนายทักษิณไปถึงโรงพยาบาลตำรวจได้พาไปที่ห้องพักพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขัง หรือนักโทษ เข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ.2557

ประกอบจากการตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา พบว่าในวันที่ 23 ส.ค.66 ที่รับตัวนายทักษิณมาก็ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่ได้ตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจในวันที่ 24 ส.ค.66 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว

และได้ความจาก นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่าที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความต้นโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจในวันที่ 23 ส.ค.66 แสดงให้เห็นได้ว่าอาการของนายทักษิณในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ

ดังนั้น เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค.66 นายทักษิณอ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ และยังได้ความจากแพทย์ว่า อาการของนายทักษิณตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจนับแต่วันที่ 24 ส.ค.66 เป็นอาการที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลได้ จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกไม่ได้เกิดขึ้นจริง และอาการของนายทักษิณก็ทุเลาดีขึ้นสามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.66 เป็นต้นไป

สำหรับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.66 จนถึงวันที่นายทักษิณออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 18 ก.พ.67 นั้น แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษใช้ใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้นายทักษิณพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการฆ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาที่ฉีกขาดเพราะนายทักษิณประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ และมีใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอนายทักษิณให้ผ่าตัดภายหลังจากอยู่โรงพยาบาลตำรวจแต่นายทักษิณปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทแต่อย่างใดจนกระทั่งออกจากโรงพยาบาลตำรวจ

ดังนั้น การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า นายทักษิณ ทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ ไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่มีเพียงโรคประจำตัวที่เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของนายทักษิณเอง

นอกจากนั้น นายทักษิณเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป จึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำ และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มีได้เกิดจากการกระทำของนายทักษิณ เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค.66 มีพระบรมราชโองการอภัยโทษให้นายทักษิณเหลือโทษจำคุก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 ส.ค.66 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษนายทักษิณเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ นายทักษิณจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการฯ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ย. 68)