หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเข้าอ่อนตัวรับ Sentiment ลบหลังเฟดอาจชะลอลดดอกเบี้ย-บาทอ่อนกดดัน Flow

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีอ่อนตัวลง ถูกดดันจาก Sentiment โลกที่กดดันบรรยากาศการลงทุน หลังสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อาทิ ตัวเลข GDP ในไตรมาส 2/68 เติบโตดีกว่าคาดและขยายตัวจากครั้งก่อน รวมทั้งตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานปรับตัวลดลง อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (บอนด์ยีลด์) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ กดดันมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าค่อนข้างสูงอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันจากข่าวที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษียานำเข้า 100% โดยจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งแม้ผลกระทบโดยตรงต่อไทยอาจมีจำกัด เนื่องจากจะส่งผลต่อประเทศในยุโรปหรือประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรยาเป็นหลัก แต่ข่าวดังกล่าวสร้างบรรยากาศเชิงลบและเพิ่มความเสี่ยงให้กับการลงทุนโดยรวม

ขณะเดียวกัน การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศที่ก่อนหน้านี้ Fitch Ratings มีการปรับลดมุม

มองความน่าเชื่อถือของไทย (Outlook) จาก “มีเสถียรภาพ” (Stable) ลงเป็น “เชิงลบ” (Negative) กดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับอ่อนสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ซึ่งอาจกระทบต่อ Fund Flow ได้ อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับตัวลงของดัชนีอาจไม่มาก เนื่องจากตลาดยังคงมีความหวังต่อการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะออกมาอย่างรวดเร็ว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ แนะนำกลุ่ม Domestic Play ซึ่งเป็นหุ้นที่อิงกับการบริโภคและเศรษฐกิจในประเทศ คาด

ว่าจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ หุ้นกลุ่ม Yield Play ที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในประเทศ

โดยให้กรอบแนวรับ 1,280 จุด แนวรับถัดไป 1,270 จุด และแนวต้าน 1,290 จุด แนวต้านถัดไป 1,300-1,305 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (25 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,947.32 จุด ลดลง 173.96 จุด หรือ -0.38%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,604.72 จุด ลดลง 33.25 จุด หรือ -0.50% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,384.70 จุด ลดลง 113.16 จุด หรือ -0.50%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกในวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 45,634.20 จุด ลดลง 120.73 จุด หรือ -0.26%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 26,272.30 จุด ลดลง 212.38 จุด หรือ -0.80% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,839.86 จุด ลดลง 13.44 จุด หรือ -0.35%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 ก.ย.) 1,288.26 จุด เพิ่มขึ้น 9.85 จุด (+0.77%) มูลค่าซื้อขายราว 35,348.54 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ (25 ก.ย.) 840.78 ล้านบาท

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย. (25 ก.ย.) ลดลง 1 เซนต์ หรือ 0.02% ปิดที่ 64.98 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 ก.ย.) อยู่ที่ 5.05 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 32.22 แนวโน้มอ่อนค่า ตลาดจับตาตัวเลข PCE สหรัฐคืนนี้ คาดกรอบ 32.10-32.35

– “อนุทิน” นายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอตลาดทุน เร่งออกมาตรการ Quick Win ปรับกฎลดอุปสรรค หวังดึงนักลงทุน และฟื้นความเชื่อมั่นใน 4 เดือน หวังเห็นหุ้นไทยพุ่งสูงขึ้น กำชับ ก.ล.ต.-ตลท.จัดการ บจ.ทุจริตให้เข้มงวด ด้านสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO ชง 4 ข้อเสนอ ตั้งทีม Thailand story เว้นภาษีปันผล, New Economic Driver, Upskill-Reskill แรงงานไทย “เอกนิติ” จ่อชง “คนละครึ่งพลัส” เข้าครม.กลาง ต.ค.นี้

– “พิพัฒน์-มัลลิกา” เข้ากระทรวงคมนาคมวันแรก สั่งเบรกมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในสายสีม่วงและสายสีแดง แม้รัฐบาลชุดก่อนอนุมัติต่ออายุไปแล้วอีก 1 ปีสิ้นสุด 30 ก.ย. 69 เผยต้องมีการทบทวนค่าโดยสารใหม่ทั้งระบบ คาดมีความชัดเจนหลังรัฐบาลชุดใหม่แถลงนโยบาย 2 สัปดาห์ พร้อมมอบหมายปลัดกระทรวง รวบรวมรายละเอียดการปรับขึ้นค่า PSC ก่อนพิจารณาให้ AOT

– เอกนิติ” ย้ำ “Quick Big Win” กระตุ้นเศรษฐกิจ 4 เดือน เร่งปลดล็อกอนุมัติการลงทุน รื้อกรอบการคลังระยะปานกลางครั้งใหญ่ พ.ย.นี้ “อรรถพล” ดันโซลาร์ภาคประชาชนเป้า 1,500 เมกะวัตต์ “พิพัฒน์” ยืนยันหั่นค่ารถไฟฟ้าไม่กระทบฐานะคลัง เร่งเมกะโปรเจกต์ค้างท่อ ประมูลส่วนต่อขยาย สายสีแดง ลุยทางด่วนภูเก็ต 3.8 หมื่นล้านบาท พร้อมรถไฟทางคู่ภาคใต้ 3 เส้น

– “อนุทิน” ประกาศปราบปรามเด็ดขาดค้ายาเสพติด พนันออนไลน์ สแกมเมอร์ ลั่น จะไม่มีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แบบมีกาสิโน และการพนันที่ถูกกม.

– มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 68 จากการสำรวจประชาชน 1,716 ตัวอย่างทั่วประเทศ วันที่ 15-22 ก.ย.68 ว่า ครัวเรือนไทยมีหนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดปี 68 ผู้ตอบมากถึง 95.1% มีหนี้ มีเพียง 4.9% ไม่มีหนี้ โดยมีหนี้รวม 740,597 บาท เพิ่มขึ้น 22.1% เมื่อเทียบปี 67 ที่มีหนี้ 606,378 บาท ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปีนับจากปี 63 (ปี 64 ไม่ได้สำรวจเพราะเป็นช่วงโควิด) โดยในจำนวนนี้เป็นหนี้ในระบบ 65% ลดลงจากปีก่อนที่มีหนี้ในระบบ 69.9% และหนี้นอกระบบ 35% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 30.1%

 

หุ้นเด่นวันนี้

– ICHI (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2026 ที่ 14 บาท เราคาดกำไรไตรมาส 3/68 ที่ 360 ลบ. +12% q-q, +1% y-y โดยได้แรงหนุนจากมูลค่าตลาดชาเขียวเดือน ก.ค. ที่กลับมา +2.1% y-y เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส แนวโน้มรายได้ ICHI เดือน ก.ค. ฟื้นตัว q-q และดีต่อในเดือน ส.ค. แม้จะเป็น Low Season ผู้บริหารมั่นใจว่าแนวโน้ม 2H25 จะดีกว่า 1H25 เราประเมินกำไรปี 2025 ที่ 1.3 พันลบ. -3% y-y และกลับมาเติบโต +7% y-y ในปี 2026 จุดเด่นคือ Dividend Yield ที่สูงราว 9-10% ต่อปี รวมถึงเป็นหนึ่งในหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคคนละครึ่งพลัสจากครม.ใหม่

– BEM (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 9.75 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ BEM และแนะนำลงทุนระยะยาว จากมูลค่าที่น่าสนใจ (2026 PBV-2SD และ PE-1SD ตั้งแต่ปี 2019) แม้บริษัทจะเข้าสู่รอบลงทุนใหม่ปี 2025-2029 แต่ถือเป็นจังหวะเข้าลงทุนที่เหมาะสมที่สุด โดยตั้งแต่ปี 2030-2029 คาดว่า FCFF จะเป็นบวก 5-7 พันบ้านบาท/ปี รองรับการจ่ายปันผล 5-6% ได้ แรงหนุนหลักมาจาก 1)การหมดภาระจ่ายค่าตอบแทนสายสีน้ำเงินปีละ 5 พันล้านบาทในปี 2029 และ2)การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตะวันออกปี 2028 และตะวันตกปี 2030) ซึ่งคาดผู้โดยสารเพิ่มจาก 120,000 เที่ยว/วัน ในปี 2028 เป็น 262,000 เที่ยว/วันในปี 2030 พร้อมส่งผลบวกต่อสายสีน้ำเงินด้วย ปัจจัยกระตุ้นใกล้ คือการอนุมัติโครงการทางด่วนสองชั้น (มูลค่า 3-3.5 หมื่นล้านบาท) ในไตรมาส 4/68 ที่คาดว่า BEM จะได้สิทธิบริหาร แลกกับการขยายสัมปทาน FES และ SES ออกไปอีก 20 ปี เพิ่มมูลค่า 1.3-1.5 บาท/หุ้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.ย. 68)