MEDEZE ยอมลงทุนยกระดับมาตรฐานพร้อมวางแผนเติบโต แย้ม H2 โตกว่า H1 มั่นใจปีนี้ยอดขายตามเป้า

นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมดีซ กรุ๊ป [MEDEZE] เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 129.41 ล้านบาท ลดลง 11% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 67 ในขณะที่บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 407.89 ล้านบาท เท่ากับครึ่งแรกปี 67 เผยครึ่งหลังปีนี้มีแนวโน้มดูดีกว่าครึ่งแรก หลังเศรษฐกิจเริ่มมีความแน่นอน พร้อมผลักดันยอดขาย ให้ถึง 1 พันล้านบาทตามเป้าปีนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง

โดยผลกระทบหลักในครึ่งแรกของปี 68 ส่วนหนึ่งมาจากรายได้จากผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากกังวลเรื่องภาษีสหรัฐฯ โดยรายได้หลักของ MEDEZE ยังคงมาจากการให้บริการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเนื้อเยื่อสายสะดือ หรือ Cord Tissue ที่คิดเป็นสัดส่วน 52% (ลดลง 4% จากปีก่อน) และธุรกิจเนื้อเยื่อไขมัน หรือ Adipose ที่คิดเป็นสัดส่วน 16% (ลดลง 6% จากปีก่อน) ในขณะที่รายได้จากการจัดเก็บเซลล์รากผม หรือ Hair Follicle ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 1%

บริษัทฯ ก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในปีนี้ โดย SG&A เพิ่มขึ้นจาก 144 ล้านบาทในครึ่งแรกปี 67 มาเป็น 171 ล้านบาทในครึ่งปีนี้ จากการเพิ่มขนาดทีมขายและการตลาด เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้า และการเข้าถึงบริการของลูกค้าที่มากขึ้น สำหรับการรองรับแผนในการขยายธุรกิจในอนาคต ตั้งแต่การลงทุนอาคารฝ่ายขาย และการตลาด อาคารคลังสินค้าแห่งใหม่ และระบบพลังงานไฟฟ้า Solar Cell เป็นต้น เพื่อเป็นการรองรับในการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ

ทั้งนี้ บริษัทก็ยังมีค่าใช้จ่ายครั้งเดียวเป็นค่าที่ปรึกษาทางการเงิน และบริการด้านกฏหมาย ในการเข้าซื้อหุ้น Cord life ที่ประเทศสิงคโปร์ แบบ partial offer ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ และผลกระทบในส่วนนี้อาจจะคาบเกี่ยวเข้ามาค่าใช้จ่ายในไตรมาส 3/68 เล็กน้อย ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ได้จะทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาแล้ว ซึ่งบริษัทฯ ก็ได้กำไรมาบางส่วนแล้ว โดยตอนนี้เหลืออยู่ประมาณ 1 แสนหุ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ตามเป้าหมาย โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 76% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 32%

“บริษัทฯ ย้ำกว่าช่วงนี้เป็นการลงทุนเพื่อการปรับเปลี่ยน และยกระดับมาตรฐานตามที่ภาครัฐฯ ต้องการ เมื่อ fixed costs นิ่งแล้ว MEDEZE จะมีการเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น ในช่วงที่เหลือของปี ค่าใช้จ่ายทางการตลาดและการค้ายังคงต้องทำต่อเนื่อง แต่ ณ ตอนนี้ จะผลักดันยอดขายให้ได้ดีกว่าเดิม โดยบริษัทฯ เริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว จากโรงพยาบาลในเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น”

อีกทั้ง ล่าสุด บริษัทฯ ก็ได้ขออนุมัติบอร์ด MEDEZE เพื่อเข้าร่วมโครงการ JUMP+ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

สำหรับแผนการเติบโตในอนาคต มีดังนี้

1. ขยายกลุ่มธุรกิจการจัดเก็บเซลล์รากผม ซึ่งจะมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นจากกระแสสังคมผู้สูงอายุ การหันมาใส่ใจผมของลูกค้า

2. ติดตั้งระบบหุ่นยนต์ ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดต้นทุนแรงงาน และเพิ่มอัตราการทำกำไรและความแม่นยำในการดำเนินงาน

3. ขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ที่บริษัท ฯ จะเข้าไปมีส่วนรวมในการบริการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพและจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ

4. ลงทุนซื้อที่ดิน ขยายพื้นที่การดำเนินงาน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต

5. พัฒนาระบบ MEDEZE Plus Auto-matching ซึ่งจะใช้ข้อมูล social listening รวมกับระบบปัญญาประดิษฐิ์ (AI) เพื่อเจาะลึกฐานกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเข้าใจภาพลักษณ์แบรนด์ การตลาด และมุมมองที่มีต่อการลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ

6. ขยายทีมขาย ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งหมด

ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทยังคงเดินหน้าโครงการ ATMPs Sandbox ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ และเกิดประโยชน์กับประเทศไทย เพื่อเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง นำร่องการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่บริษัทชีวเภสัชกรรมอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างเศรษฐกิจสุขภาพ หรือ “HEALTH Economy” ดึงดูดรายได้เข้าประเทศ

โดยบริษัทได้จับมือกับกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค โดยสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต และศูนย์การแพทย์บางรัก เปิดตัวโครงการ Advanced Therapy Medicinal Products Sandbox (ATMPs Sandbox) โดยคัดเลือก MEDEZE เป็นภาคเอกชนเพียงรายเดียวที่ร่วมดำเนินโครงการ ด้วยความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี มาตรฐาน และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง สำหรับการรักษาเชิงลึกแบบเฉพาะบุคคล (Precision Preventive Medicine)

เริ่มต้นจาก 5 กลุ่มโรคที่พบมากในประเทศไทย โดยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเป็น “สถานพยาบาลนำร่อง” ในการดำเนินการวิจัย ทดลอง และให้บริการทางการแพทย์ 3 โรค คือ โรคหมอนรองกระดูกเสื่อม กลุ่มโรคผิวหนังและการชะลอวัย รวมถึงมะเร็งลำไส้ และศูนย์การแพทย์บางรักดำเนินการวิจัย ทดลอง และให้บริการทางการแพทย์ 2 โรค “โรคข้อเข่าเสื่อม – โรคผิวหนังและการชะลอวัย” เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูงและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากเซลล์ต้นกำเนิดในประเทศไทย โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ยาจากงานวิจัยโรคข้อเข้าเสื่อมจะสามารถขึ้นทะเบียนยาได้ภายในไตรมาส 1/70

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 68)