
จากผลประกอบการของ บมจ.มากุโระ กรุป [MAGURO] ในไตรมาส 2/68 ที่ทั้งยอดขายกำไรสุทธิโตก้าวกระโดด ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ MAGURO กลับสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง ผู้บริหารมั่นใจว่าจะไม่ผิดหวัง
นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO เปิดเผยว่า จากการวางกลุ่มเป้าหมายของ MAGURO ตั้งแต่วันแรก ที่โฟกัสกลุ่ม Premium Mass ที่ต้องการคุณภาพอาหารมาก่อนราคา และประสบการณ์ที่ดีที่เต็มไปด้วยความคุ้มค่า
จากนั้นเราก็แตกแบรนด์ เพราะไม่ต้องการพึ่งพิงแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยการเติบโตมีจำกัด การแตกแบรนด์ ยังช่วยกระจายความเสี่ยง หากแบรนด์ร้านหนึ่งตกก็ยังมีอีกร้านหนึ่งช่วยพยุงไป ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา MAGURO แตกแบรนด์ทำให้เราสามารถสร้างรายได้หลายทาง
นอกจากนี้ บริษัทมีระบบหลังบ้านที่แข็งแรง ด้วยระบบ CRM ดูแลกลุ่มลูกค้า และยังมีทีมจัดซื้อวัตถุดิบ ทีมพัฒนาบุคคลากร เหล่านี้ ช่วยให้ MAGURO ควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจุบัน MAGURO มีอยู่ 7 แบรนด์ ได้แก่
MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่น และซูชิระดับพรีเมียม
HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ
SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม
Tonkatsu AOKI ร้านหมูทอดทงคัตสึ ยอดนิยมจากประเทศญี่ปุ่น
CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก
Bincho ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่าน แบบญี่ปุ่นดั่งเดิม
KIWAMIYA ร้านแฮมเบิร์กและสเต็กเนื้อวากิวต้นตำรับจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแบรนด์ล่าสุด
ร้าน MAGURO ยังคงเป็นเรือธงที่ทำสัดส่วนรายได้ถึง 50% ขณะที่แบรนด์ใหม่ๆ มีสัญญาณบวกที่เติบโตได้ดี โดยแบรนด์ที่รองลงมาเป็น HITORI SHABU ที่จะเป็นแบรนด์เรือธงอีก ขณะที่ แบรนด์น้องใหม่อย่าง Bincho และ KIWAMIYA ก็มาแรงได้รับการตอบรับดีมาก สามารถสร้างยอดขายทะลุเป้าเกิน 100%
นายจักรกฤติ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าใน 3 ปีนี้จะมีรายได้เติบโตปีละ 25-30% โดยภายในปี 2571 จะมีรายได้แตะ 5 พันล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะทำได้มากกว่า 50% และ อัตรากำไรสทธิ (Net Profit Margin) เป็นเลข 2 หลัก
ขณะที่มีการขยายสาขาต่อเนื่อง 15-20 สาขาต่อปี ด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาทในแต่ละปี
นอกจากนี้ MAGURO มีแผนแตกแบรนด์ต่อเนื่อง ปีละ 2-3 แบรนด์ ซึ่งมีทั้งการเข้าสู่ segment ใหม่ๆ หรือจะเป็นการต่อยอดจากแบรนด์เดิม เพื่อกระจายความเสี่ยงให้มากขึ้น
ทั้งนี้ การขยายแบรนด์ของ MAGURO จะแตกเป็น 3 แกน โดยแกนแรกเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีทั้ง่หมด 5 แบรนด์ โดย 3 แบรนด์ เป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมา ส่วนอีก 2 แบรนด์ซื้อเฟรนไชส์จากญี่ปุ่น แต่ก็ยังคงะยึดแนวทางนี้ด้วยการพัฒนาเองและนำแบรนด์อินเตอร์ฯที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นมาเสริมพอร์ต
แกนที่สอง เป็นร้านอาหารตะวันตก ซึ่งได้ส่ง CouCou เข้ามาชิมลางแล้ว ขณะที่มองเห็นช่องทางการแตกแบรนด์ไปยัง Segment ย่อยอื่นๆ ได้
และ แกนที่สาม เป็นแบรด์อาหารไทย ซึ่งซุ่มพัฒนามานานแล้ว อาจจะเห็นแบรนด์แรกในปีหน้า หรือปีถัดไป
นายจักรกฤติ กล่าวว่า การสร้างแบรนด์ร้านอาหารใหม่ๆ บริษัทต้องมั่นใจว่าสามารถสร้างความแตกต่างและให้ความประทับใจกับลูกค้าแน่นอน
“การควบคุมต้นทุน การรักษามาตรฐาน การแตกแบรนด์ใหม่ การเข้าไปตลาดใหม่ๆ และมองหา S-Curve ใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่พึ่งพิงแค่ มากุโระ อย่างเดียว ไม่พึ่งพิงแค่สิ่งที่เรามี ณ วันนี้ เราต้องคิดไปข้างหน้าตลอด…คือต้องเป็นการมองที่อนาคตตลอดเวลา”
นายจักรกฤติ กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของ MAGURO รวมถึงวิสัยทัศน์ในการเติบโตธุรกิจที่เราทำอยู่ เราไม่ได้มองแค่ตลาดไทยอยู้แล้ว แต่เรามองในเชิง Global Mindset เมื่อเรามอนิเตอร์ทั้งโลก เราจะมองเห็นโอกาสว่าประเทศไหน ตลาดไหนที่จะนำสินค้า หรือประสบการณ์ร้านอาหารแบบไหนเหมาะสมกับตลาดนั้นๆ
พร้อมระบุว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษา ซึ่งเป็นข่วงเริ่มต้นหาข้อมูล ย้ำว่าไม่ได้ปิดโอกาสที่จะออกไปสู่ตลาดต่างประเทศ มีความเป็นไปได้ที่จะขยายไปตลาดสหรัฐ ยุโรป หรือในอาเซียน เพราะแต่ละตลาดมีความแตกต่างกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ต.ค. 68)