NDR ตั้งเป้ารายได้ปี 64 โต 20% รับอุตฯยางรถจยย.ฟื้นแต่ยังต้องระวังต้นทุนสูงขึ้น

นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ (NDR) กล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจในปี 64 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% จากปีก่อน โดยประเมินภาพรวมของอุตสาหกรรมยางรถจักรยานยนต์น่าจะดีกว่าปีก่อน จากปัจจัยที่เอื้อประโยชน์จากการสั่งสินค้าออนไลน์ การสั่งอาหารส่งถึงบ้าน ทำให้มีการใช้รถจักรยานยนต์มากขึ้น

ซึ่งจะช่วยเพิ่มความต้องการของยางรถจักรยานยนต์ในตลาดให้เพิ่มมากขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความได้เปรียบในเชิงต้นทุนจะหายไป เพราะราคาวัตถุดิบจะไม่ถูกเหมือนปีที่ผ่านมา

“เราตั้งเป้ารายได้ในปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อน บนสมมติฐานของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 จะไม่รุนแรงกว่าปัจจุบันและจะสามารถเริ่มกระจายวัคซีนได้ในเร็วๆนี้ ซึ่งหากสถานการณ์เป็นไปตามที่คาดการณ์ ทำให้เชื่อว่าการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาดีขึ้น”

นายชัยสิทธิ์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจตลาดในประเทศ แบ่งเป็นตลาดมวลชน (Mass Market) และตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) โดย Mass Market บริษัทฯยังคงเน้นอยู่ที่ตัวแทนการจัดจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าให้ทั่วถึงทั้งประเทศ ขณะที่ในส่วนของ Niche Market จะเป็นการสร้างตลาดเฉพาะกลุ่มขึ้นมา และเน้นการสร้างแบรนด์ การสร้างดีมานด์ รวมถึงเพิ่มประสบการณ์การได้ใช้ยางรถจักรยานยนต์ของบริษัทฯ ซึ่งจะเป็นตัวสนับสนุนให้ตลาด Mass Market สามารถจำหน่ายได้ง่ายและมากขึ้น

ส่วนตลาดในต่างประเทศ เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด- 19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้ บริษัทจึงเน้นที่การเพิ่มตลาดให้กับลูกค้ากลุ่มเดิม ส่วนตลาดใหม่ได้มีการปรับกลยุทธ์ โดยใช้วิธีออนไลน์ในการเจรจาแทน ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ปีนี้ใกล้เคียงก่อน แบ่งเป็นในประเทศ 45% และต่างประเทศ 55%

ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 4/63 บริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 224.28 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 272.41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 12.07 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี 63 บริษัทมีรายได้รวม 781.42 ล้านบาท ลดลง 9.33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 861.86 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 45.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327.41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 19.88 ล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตอย่างโดดเด่นและพลิกเป็นกำไร เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญมาจากการบริหารจัดการเรื่องวัตถุดิบและการลดต้นทุนในการผลิตของบริษัทฯ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 63 สูงขึ้นมาอยู่ที่23.82% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.80%

“แม้ว่าบริษัทย่อยในประเทศมาเลเซียจะยังคงมีการปิดประเทศแบบมีเงื่อนไขในไตรมาส 4/63 แต่ธุรกิจยังคงสามารถดำเนินการได้เป็นปกติ ยกเว้นธุรกิจรองเท้าที่ยังคงชะลอตัวเนื่องจากการเลื่อนเปิดภาคเรียนออกไป”

นายชัยสิทธิ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.พ. 64)

Tags: , , , ,
Back to Top