In Focus: จับตาปัจจัยเสี่ยงและมาตรการรับมือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากจีน

ในขณะที่ไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่กลับมาสร้างความระส่ำระสายอีกครั้ง จีนก็เป็นอีกประเทศที่ต้องประสบกับสถานการณ์ที่น่ากังวลไม่น้อยไปกว่ากันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสโรคปอดอักเสบที่มีชื่อว่า 2019-nCoV

ล่าสุด ณ วันพุธที่ 22 ม.ค. 2563 ทางการจีนยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาเพิ่มเป็น 9 ราย และพบผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวกว่า 440 ราย ขณะที่มีรายงานผู้ป่วยนอกแผ่นดินจีน 8 ราย นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันว่า การติดเชื้อเกิดขึ้นระหว่างคนสู่คน

แต่ที่หนักหนาสาหัสก็คือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ เกิดขึ้นในช่วงใกล้วันหยุดเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 24-30 ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกหลานชาวแดนมังกรจากทั่วประเทศเดินทางกลับภูมิลำเนา ในขณะเดียวกันก็มีชาวจีนจำนวนไม่น้อยอาศัยช่วงวันหยุดยาวนี้เดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดการเดินทางเป็นจำนวนมากตามเส้นทางต่าง ๆ ท่ามกลางการเบียดเสียดแออัดยัดเยียดของผู้โดยสารภายในพื้นที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถเมล์ และเครื่องบิน ข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวเมื่อปี 2562 ระบุว่า มีนักท่องเที่ยวชาวจีนประมาณ 7 ล้านคนเดินทางไปต่างประเทศในระหว่างเทศกาลตรุษจีน

นอกเหนือจากวันหยุด 7 วันตามประกาศของทางการจีนแล้ว ยังมีการเดินทางในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือช่วงชุนอวิ้น (Chunyun) ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวจีนนิยมเดินทางกลับบ้านเพื่อฉลองเทศกาลตรุษจีนกับครอบครัว นับเป็น “การเดินทางประจำปีครั้งใหญ่ที่สุดในโลก” ปกติจะเริ่มขึ้นก่อนตรุษจีน 15 วัน โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 10 ม.ค. – 18 ก.พ. รวมทั้งสิ้น 40 วัน ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าการระบาดของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะแพร่กระจายไปทั่วโลก

In Focus สัปดาห์นี้ จึงขอนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ รวมทั้งวิธีการดูแลรักษาตนเองให้ปลอดภัยจากโรค

สถานการณ์การแพร่ระบาด

จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีนณ วันพุธที่ 22 ม.ค. 2563 อยู่ที่ 440 ราย ทั้งในกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ มณฑลกวางตุ้ง มณฑลเสฉวน ยูนนาน และชานตง และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 9 ราย ขณะที่นอกแผ่นดินจีนมีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 8 ราย โดยมี 3 รายในไทย และอีก 5 รายในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐ พบรายล่าสุดที่มาเก๊าและไต้หวัน โดยผู้ติดเชื้อทั้งหมดมีประวัติการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น

นายซ่ง หนานชาน หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินหายใจของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในเมืองอู่ฮั่น และพบผู้ป่วยในเมืองอื่น ๆ เล็กน้อย นั่นหมายถึงว่า สถานการณ์ในปัจจุบันยังเป็นการแพร่ระบาดในระดับภูมิภาค พร้อมทั้งยืนยันว่า มีการติดเชื้อระหว่างคนสู่คน และมีบุคลากรทางการแพทย์อย่างน้อย 15 รายที่ได้รับเชื้อไวรัส โดยมีหนึ่งรายที่อาการอยู่ในขั้นวิกฤติ

นอกจากนี้ นายซ่งได้ระบุว่า ปัจจุบันยังไม่พบผู้ป่วยที่แพร่เชื้อได้มากเป็นพิเศษ (Super-Spreader) และวิธีป้องกันการแพร่ระบาดที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการกักบริเวณผู้ติดเชื้อหรือต้องสงสัยว่าติดเชื้อ

ทางด้านนายเจิง กวง หัวหน้านักระบาดวิทยาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีน (CDC) กล่าวว่า ไม่พบรายงานการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเด็กและนักเรียนในเมืองอู่ฮั่น โดยกลุ่มผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ

อย่างไรก็ตาม ทีมผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ MRC เพื่อการวิเคราะห์โรคติดเชื้อทั่วโลกแห่งวิทยาลัยอิมพีเรียลลอนดอน (MRC Centre for Global Infectious Disease Analysis at Imperial College London) ได้วิเคราะห์ว่า น่าจะมีผู้ติดเชื้อในเมืองอู่ฮั่นถึง 1,723 ราย ที่แสดงอาการของโรคแล้ว (คาดว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้มีระยะเวลาฟักตัวของโรคประมาณ 1 สัปดาห์) โดยตัวเลขดังกล่าวคำนวณจากการที่มีผู้ป่วยแสดงอาการของโรคในประเทศไทยและญี่ปุ่น (รายงานชิ้นนี้เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2563)

มาตรการรับมือของจีนและทั่วโลก

หลังมีรายงานการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้ไม่นาน ทางการจีนได้สั่งปิดและทำความสะอาดตลาดขายส่งอาหารทะเลในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งคาดว่าเป็นสถานที่แห่งแรกที่มีการแพร่ระบาดของโรค

นอกจากนี้ ยังได้มีการสั่งห้ามกรุ๊ปทัวร์เดินทางออกจากเมืองอู่ฮั่น และเพิ่มจุดวัดอุณหภูมิของร่างกายและจุดคัดกรองผู้ป่วยบริเวณสนามบิน สถานีรถไฟ สถานีขนส่ง และท่าเรือรับส่งผู้โดยสารเพื่อวัดอุณหภูมิของประชาชนที่จะเดินทางออกนอกเมือง ขณะที่ตำรวจจราจรได้ตรวจสอบรถที่เข้าและออกเมืองอู่ฮั่น เพื่อป้องกันไม่ให้นำสัตว์ปีกหรือสัตว์ป่าที่มีชีวิตเข้า-ออกเมือง

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ประกาศว่า จีนจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยระบุว่า รัฐบาลจีนจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกต่อความปลอดภัย และสุขภาพของประชาชน

ทางด้านนายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนได้ดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ โดยได้แบ่งปันข้อมูลกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ฮ่องกง มาเก๊า และชาติอื่นๆ รวมทั้งองค์กรในภูมิภาค โดยจีนจะทำงานร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือกับสถานการณ์ด้านสาธารณสุขในระดับภูมิภาคและระดับโลก

ในขณะที่นายเจิงกล่าวว่า จีนได้ใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และได้เปิดเผยลำดับจีโนมของเชื้อไวรัสโคโรนาให้กับนักวิทยาศาสตร์และ WHO เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวรัสดังกล่าว และหาวิธีรักษา

ขณะเดียวกัน WHO เตรียมจัดการประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินในวันนี้ (พุธที่ 22 ม.ค.) ที่กรุงเจนีวา เพื่อหารือเกี่ยวกับการสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตและติดเชื้อมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

ทางด้านประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง ไทย ออสเตรเลีย สหรัฐ ได้เพิ่มจุดคัดกรองผู้ป่วยที่สนามบินสำหรับตรวจสอบผู้ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น โดยในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้มีมาตรการให้ผู้ที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นต้องผ่านการคัดกรองผู้ป่วย ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศในท่าอากาศยานนานาชาติ 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ นอกจากจะส่งผลต่อชีวิตผู้คนแล้ว ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจอีกด้วย โดยในช่วงวันที่ 21-22 ม.ค. ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวลง หลังมีรายงานผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาในประเทศอื่น ๆ นอกเหนือไปจากจีน ทำให้นักลงทุนกังวลว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเหมือนกับวิกฤตโรค SARS ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2546 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 800 คน และยังทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฮ่องกง

นายร็อบ คาร์เนลล์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของธนาคารไอเอ็นจี เตือนว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง หากผู้บริโภคเกิดความตื่นตระหนก เพราะอาจจะทำให้ประชาชนไม่อยากจะเดินทาง ไม่ต้องการไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างหนักแล้ว

อย่างไรก็ตาม นายคาร์เนลล์เชื่อว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลกระทบน้อยกว่า SARS เนื่องจากมีความรุนแรงน้อยกว่า และรัฐบาลจีนได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วในการเปิดเผยข้อมูลการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งแตกต่างจากคราวที่เกิดโรค SARS ซึ่งรัฐบาลจีนถูกทั่วโลกโจมตีเพราะปกปิดข้อมูลการระบาดในช่วงเริ่มแรก ส่งผลให้เกิดการลุกลามจนยากต่อการควบคุมในที่สุด

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ หากยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้คือ การท่องเที่ยว โรงแรม และสายการบิน เนื่องจากประชาชนกังวลว่าตนเองอาจจะมีโอกาสติดเชื้อได้ และหลีกเลี่ยงการเดินทางไปท่องเที่ยว

ลักษณะอาการของโรค

ไวรัสโคโรนา เป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคหวัดหรือปอดอักเสบได้อยู่แล้ว โดยมีหลายสายพันธุ์ ที่เป็นที่รู้จักมีอยู่ 6 สายพันธุ์ด้วยกัน โรคซาร์ส (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS) ที่เคยแพร่ระบาดก่อนหน้านี้ก็เป็นสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาเช่นกัน

สำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ มีชื่อเรียกว่าไวรัส 2019-nCoV ในปัจจุบัน ความรู้เกี่ยวกับเชื้อตัวนี้ยังมีน้อย ไม่มีวัคซีนรักษา และยังไม่ทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไรหรือหรือมีสัตว์ชนิดใดเป็นพาหะ อย่างไรก็ตาม ยังพอจะมีข่าวดีอยู่บ้างที่มีการเปิดเผยว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่รุนแรงเท่ากับ SARS

ทั้งนี้ อาการป่วยเบื้องต้นจะคล้ายคลึงกับโรคระบบทางเดินหายใจและปอดอักเสบ เช่น มีไข้ ไอหรือจาม เจ็บคอ น้ำมูกไหล หายใจไม่สะดวก และหายใจลำบาก

ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังเชื่อว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ สามารถติดต่อได้ทางการสัมผัสเท่านั้น แต่ยังมีความเป็นไปได้ที่การไอหรือจามจะเป็นสาเหตุให้ไวรัสแพร่กระจายได้เช่นกัน และได้แนะนำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่ยังมีชีวิตแบบไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีไข้หวัดหรือมีอาการคล้ายไข้หวัด

การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกัน

  • เนื่องจากองค์การอนามัยโลกไม่ได้ประกาศให้จำกัดการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขของไทยจึงขอแนะนำให้ปฏิบัติตัวในขณะเดินทางไปต่างประเทศ ดังนี้
  • ระหว่างเดินทางในต่างประเทศ ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือสถานที่ที่มีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุกดี
  • หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอลเจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
  • ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
  • รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ข้อมูลจากทางการจีนชี้ให้เห็นว่า ปริมาณการเดินทางมหาศาลช่วงตรุษจีน และในช่วงชุนอวิ้นปีนี้กว่า 3,000 ล้านเที่ยว ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ภายในและนอกประเทศรวมกัน ซึ่งการที่ผู้คนเดินทางพร้อมกันครั้งใหญ่ขนาดนี้ ทำให้มีโอกาสที่จะมีผู้ได้รับเชื้อทั้งที่แสดงอาการแล้วและยังไม่แสดงอาการปะปนอยู่ในการเดินทางกว่า 3,000 ล้านเที่ยวดังกล่าว และคาดว่า จะยังไม่มีมาตรการใด ๆ สามารถคัดกรองและป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้อย่าง 100% ดังนั้น เราจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำจากกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง และรักษาสุขภาพ-สุขอนามัยของตนเอง และหากมีอาการต้องสงสัย โปรดรีบไปพบแพทย์โดยทันที

สุดท้ายนี้ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และฝุ่น PM2.5 และหวังว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ครั้งนี้ จะไม่รุนแรงเหมือนการระบาดที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ม.ค. 63)

Tags: , , ,
Back to Top