CRC ทุ่มลงทุนกว่า 1 แสนลบ.ใน 5 ปีเน้นขยายสาขา-ธุรกิจใหม่-พัฒนาเทคโนโลยี

บมจ.เซ็นทรัล รีเทล (CRC) ประกาศกลยุทธ์ 5 ปีขับเคลื่อนองค์กร โดยการสร้างนวัตกรรมการค้าแห่งยุคอนาคต ด้วย 4 กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ พร้อมอัดฉีดทุ่มงบลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท ขยายการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจทั้ง ฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ และสร้างธุรกิจใหม่ ดันรายได้เติบโต 2.5 เท่า พร้อมสร้าง CRC Retailligence Ecosystem ที่พร้อมเติมเต็มทุกประสบการณ์ให้กับลูกค้าแบบไร้พรมแดนและไร้ขีดจำกัด โดยยึดมั่นให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการเป็น Central to Life หรือ ศูนย์กลางชีวิตของผู้คน เพื่อก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งของค้าปลีกอัจฉริยะแห่งภูมิภาคเอเชียอย่างเต็มรูปแบบ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน

“CRC ตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2569 เราจะเติบโตในทุกมิติ ด้านรายได้เติบโต 2.5 เท่า EBITDA เพิ่มขึ้น 3.5 เท่า และ Market Cap เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ด้วยงบลงทุน 100,000 ล้านบาท ด้วยรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของ Next-Gen Omni Retail ผนวกกับ CRC Data Ecosystem”นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC ระบุ

ทั้งนี้ วงเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท จะเน้นไปที่การขยายสาขาของแบรนด์รีเทลในเครือของ CRC เป็นหลักถึง 75% โดยจะคงขยายสาขาในไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ CRC มีสาขาที่ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าได้เพิ่มขึ้น สร้างโอกาสผลักดันการเติบโตของยอดขาย ส่วนงบที่เหลืออีก 25% จะใช้ลงทุนในธุรกิจใหม่ที่บริษัทมองว่ามีโอกาสเข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจหลัก และใช้ลงทุนพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัท โดยเฉพาะการพัฒนาระบบ Omni channel ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และทำให้บริษัทสามารถสร้างโอกาสในการขายสินค้าให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด

แผนดำเนินงานของบริษัทในช่วง 5 ปี ตั้งเป้ารายได้และมูลค่าตลาด (Market Cap) เติบโตขึ้น 2.5 เท่าภายในปี 69 โดยการเติบโตของยอดขายหลักยังคงมาจากพอร์ตธุรกิจรีเทลในไทยและเวียดนามที่จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นขึ้น หลังจากที่การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศกลับมา และไม่มีการล็อกดาวน์อีก ส่งผลให้คนกลับมาทำงานตามปกติ สร้างรายได้เข้ามาหนุนกำลังซื้อฟื้นตัว และการกลับมาเปิดประเทศจะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาอีกครั้ง ซึ่งธุรกิจในประเทศไทยและเวียดนามยังคงเป็นประเทศหลักในการสนับสนุนการเติบโตของเป้าหมายบริษัทในช่วง 5 ปีนี้

ขณะที่ธุรกิจห้างสรรพสินค้า Rinascente ในอิตาลี ยังสามารถสร้างยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง และฟื้นตัวกลับมาเป็นที่แรกหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในยุโรปเริ่มดีขึ้น และเป็นอีกหนึ่งพอร์ตธุรกิจในต่างประเทศที่ยังช่วยเสริมการผลักดันให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจในประเทศไทย 70% เวียดนาม 20% และอิตาลี 10%

ส่วนการถอนตัวเข้าร่วมลงทุนใน Selfridges Group ซึ่งเป็นเครือห้างสรรพสินค้าในประเทศอังกฤษร่วมกับเซ็นทรัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CRC นั้น เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่ายุทธศาสตร์การลงทุนของ CRC เน้นไปที่ประเทศเกิดใหม่เป็นหลัก โดยเฉพาะในไทยและเวียดนาม ซึ่งถือเป็นประเทศหลักที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะถอนตัวออกมาแต่มองว่ายังได้การ Synergy ร่วมกับเซ็นทรัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในการให้คำปรึกษาการบริหารห้างสรรพสินค้า

นายญนน์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเดินหน้ามองหาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เพื่อเข้ามาต่อยอดสาขาที่มีอยู่ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและโรบินสัน ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ๆ เข้ามา คาดว่าจะเปิดตัวธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ภายในปีนี้

นอกจากนี้ การมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาระบบของแอปพลิเคชั่นในเครือ CRC หลังจากปรับปรุงและย้ายระบบของ Central app ไปแล้วเมื่อไตรมาส 4/64 ก็จะทยอยปรับปรุงและย้ายระบบแอปพลิเคชั่นแบรนด์อื่นๆ ในเครือต่อเนื่องให้ครบทุกแบรนด์ภายในปีนี้ ทำให้แอปพลิชั่นของแบรนด์ภายใต้ CRC มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และลูกค้าเลือกใช้งานได้อย่างสะดวก สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันที

อีกทั้งยังอยู่ระหว่างการพัฒนาก้าวเข้าสู่ Metaverse ซึ่งเป็นช่วงทดลองภายใน โดยมองว่านำ Metaverse มาใช้จะช่วยต่อยอดและเชื่อมโยงสาขารูปแบบ Physical และการขายแบบ Omni channel ที่ครบวงจรมากขึ้น ทำให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าของ CRC ได้ลองสินค้าผ่านระบบ Virtual ก่อนเข้ามาซื้อจริงผ่านสาขาของ CRC ช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ในการซื้อสินค้าของลูกค้า

“Metaverse เรามองว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่จะมาในอนาคต แต่ยังไม่สามารถทดแทนกิจกรรมในโลกความเป็นจริงที่อยู่ในโลกเสมือนได้ทุกอย่าง ในส่วนของ Retail เราจะใช้ Metaverse เข้ามาต่อยอดและเชื่อมโยงระหว่างโลก Virtual ไปสู่ Physical อย่างซื้อเสื้อผ้าถ้าเราดูเสื้อผ้าในรูปเราก็ไม่รู้ว่าเราใส่เสื้อตัวนั้นแล้วเป็นอย่างไร แต่ Metaverse เราสามารถนำเสื้อผ้ามาลองใส่ก่อนในโลก Virtual ได้ และถ้าใส่แล้วโอเคก็พาลูกค้ามาซื้อสินค้าจริงในสาขาได้ ซึ่งเป็นการเข้ามาต่อยอดและเชื่อมโยง Omni channel ของ CRC ซึ่งเป็นสิ่งที่ CRC พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ CRC ยังเป็นผู้นำในธุรกิจ และผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 มาได้”

นายญนน์ กล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนนำบริษัทเครือที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม e-book คือ meb ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบมจ.ซีโอแอล (COL) ที่ได้เข้ามาจากการควบรวมกิจการก่อนที่ CRC จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยที่วางแผนนำ meb เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในปลายปี 65 เป็นไปตามแผนการนำบริษัทลูกที่มีศักยภาพเข้าระดมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตมากขึ้น

นายญนน์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มธุรกิจของ CRC ในปี 65 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้น และมีโอกาสพลิกกลับมามีกำไร หลังจากผ่านวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่เป็นแรงกดดันผลการดำเนินงานมาต่อเนื่อง โดยปี 65 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของยอดขายทยอยกลับมา โดยเฉพาะในประเทศไทย หลังจากการแพร่บะดโควิด-19 ค่อยๆ คลี่คลายลงไป อีกทั้งในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืนหนุนยอดขายกลับมาฟื้นได้เร็ว แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่ถือว่าได้ช่วยผู้ประกอบการรายใหญ่ และเอสเอ็มอีต่างๆ ให้ฟื้นกลับมาได้ค่อนข้างดี หลังจากที่ธุรกิจหยุดชะงักไปในช่วง 2 ปีทีผ่านมา

ขณะที่การขยายผ่านช่องทางออนไลน์ยังคงเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจำนวนการขายและยอดการจับใช้จ่ายที่เติบโตขึ้น โดยที่สัดส่วนยอดขายจากช่องทางออนไลน์ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาที่ 20% ของยอดขายรวม ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่ CRC จะทำควบคู่กันไปกับช่องทางการขายผ่านสาขา อีกทั้งการกลับมาเปิดประเทศจะทำให้มีกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเสริม แต่มองว่าจะเข้ามาสนับสนุนการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังมากกว่า และธุรกิจในเวียดนามก็กลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน CRC จึงพร้อมกลับมาเดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มที่อีกครั้ง

“CRC ตอนนี้ก็เหมือนฟ้าหลังฝน อารมณ์สงครามได้จบไปแล้ว และเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ชัดเจนขึ้น ที่ผ่านมา 2 ปี เราก็สู้กับโควิดมาตลอด ทำให้เราเหมือนได้พักสะสมพลัง จากการที่เราได้เตรียมตัวระบบงานต่างๆ ภายในบริษัท เหมือนเสือที่โดนโซ่ล่ามไว้ และเมื่อโซ่ถูกปลดออกก็พร้อมทะยานเข้าล่าเหยื่อ ตอนนี้เราพร้อมที่จะอยู่กับโควิดและเดินหน้าธุรกิจเต็มที่ สร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างโดดเด่น หาโอกาสใหม่ๆต่อยอดการเติบโต และมีความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่เข้ามา”

นายญนน์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.พ. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top