ศปก.ศบค.ย้ำให้สถานบันเทิงยึดเวลาเปิดตามกม.เดิมก่อนโควิดระบาด มองสวมหน้ากากยังจำเป็น

พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงกรณีที่ ศบค.ผ่อนคลายมาตรการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงว่า มติที่ประชุม ศบค.เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมาเป็นมาตรการผ่อนคลายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งให้สถานบริการทั้งหมดเปิดได้ตามกฎหมายปกติ จึงต้องไปดู พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509, กฎกระทรวง, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี, คำสั่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งทั้งหมดมีกำกับไว้อยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของเวลาการเปิด-ปิด ในพื้นที่ที่เป็นโซนนิ่งและไม่ใช่โซนนิ่ง รวมถึงเวลาห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ส่วนประเด็นที่ผู้ประกอบการได้ร้องขอให้ยกเลิกกฎหมายบางส่วนนั้นก็ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้พิจารณาดำเนินการ สิ่งที่ ศบค.รับผิดชอบก็จะเป็นไปตามข้อกำหนดที่จะออกมาภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งจะเป็นข้อกำหนดที่ระบุให้สถานบริการดำเนินการตามกฎหมายปกติที่มีอยู่ก่อนที่จะมีสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด

ส่วนความชัดเจนว่าสามารถเปิดสถานบันเทิงได้ถึงเวลาเท่าไหร่นั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ให้ยึดตามกฏหมายปกติ ที่จะระบุ เรื่องของเวลาขึ้นอยู่กับประเภทของสถานบริการ ร้านอาหารที่จะเปิดโดยจะมีทั้งที่ให้เปิดได้ถึงเวลา 24.00 น., 01.00 น. และ 02.00 น.ไม่เกินจากนี้ โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบการจดทะเบียนสถานบริการ ร้านอาหาร

ส่วนกรณีให้ประชาชนสามารถถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งได้แล้วจะพิจารณาอย่างไรว่าจะต้องกลับมาให้ใส่อีกครั้ง พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ศบค.กำลังจะออกข้อกำหนด โดยมีทั้งการประกาศให้ทั่วประเทศเป็นพื้นที่สีเขียว กิจการกิจกรรมต่างๆสามารถดำเนินได้ตามปกติ แต่มีข้อกังวลบางส่วนจากกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ออกมาเป็นข้อกำหนดบังคับ คือ กิจกรรมที่จะมีการรวมตัวของคนเกิน 2,000 คน จะต้องได้รับอนุญาตก่อน

ส่วนเรื่องการผ่อนคลายถอดหน้ากากอนามัยได้มีการยกเลิกกฎหมายที่บังคับว่าจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา และจะมีมาตรการจากกระทรวงสาธารณสุขออกมาแนะนำให้ประชาชนควรใส่ในกิจกรรมใดบ้าง และสามารถอนุโลมให้ถอดหน้ากากอนามัยในกิจกรรมใด แต่ในภาพรวมจากสถานการณ์ที่ทุกคนได้เห็น ส่วนตัวคิดว่า การสวมหน้ากากอนามัยนั้นยังมีความจำเป็น เพราะทางการแพทย์เองก็ยังเห็นว่ามีความจำเป็น

ผู้อำนวยการ ศปก.ศบค.กล่าวว่า การกลับมาบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องประเมินวิกฤตที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเท่าที่ตนเองดูในสถานการณ์ปัจจุบันก็คิดว่าไม่น่าจะเกิดวิกฤติอีก โดยจะมีมาตรการอื่นๆ ทางการแพทย์ออกมารองรับ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว และสิ่งเหล่านี้จะช่วยอำนวยให้ประชาชนได้ปรับตัวเองในการใช้ชีวิตร่วมกับโรคโควิด-19 และสุดท้ายโรดแมพที่จะประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นก็จะมีความเป็นไปได้

สำหรับกรณีพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงที่สิงคโปร์แล้ว พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ขอให้ฟังข้อมูลจากทางกระทรวงสาธารณสุขที่จะทยอยแจ้งให้ประชาชนทราบว่าควรระมัดระวังอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเป็นเชื้อประเภทไหน สิ่งที่แพทย์ให้ความสำคัญคือเรื่องอันตรายที่มีต่อร่างกาย ดังนั้นตนเองคิดว่าสิ่งแรกที่จะช่วยได้คือการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองไว้ก่อน สองคือการฉีดวัคซีน โดยในวันเดียวกันนี้ก็ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เป็นการพูดคุยให้กระทรวงมหาดไทย ใช้กลไกฝ่ายปกครอง ตั้งแต่ระดับชุมชน หมู่บ้าน ไล่เรียงขึ้นมา ให้ช่วยพูดคุยกับประชาชนให้ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างสะดวกที่สุด

ทั้งนี้ การผ่อนคลายให้ประชาชนถอดหน้ากากอนามัยในที่โล่ง แต่ขณะนี้มีเชื้อโรคใหม่ และเชื้อกลายพันธุ์เข้ามา ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะต้องรอให้วัวหายแล้วค่อยล้อมคอกอย่างนั้นหรือไม่นั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ และขณะนี้ยังยืนยันว่ สามารถดำเนินการตามมาตรการ ข้อกำหนดที่จะออกไป หากจะมีการเปลี่ยนแปลง ทางกระทรวงสาธารณสุขจะประเมินแล้วแจ้งให้ทราบ แม้จะมองว่ามีความน่ากังวลแต่มาตรการที่ออกมาคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มิ.ย. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top