TTB ชี้ภาคการผลิตไทย 5 ปียังเติบโตต่ำ แนะเร่งลงทุนใน EEC ยกระดับรายได้เพิ่ม

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เผยรายได้ภาคการผลิตไทยเติบโตต่ำ โดยมีการเติบโตเพียง 1.3% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าปี 65 เริ่มฟื้นแล้วจากการผ่อนปรนการควบคุมโรคและเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ แต่ยังมีความเสี่ยงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แนะภาครัฐเร่งรัดการลงทุน EEC ให้เกิดอุตสาหกรรมสมัยใหม่ให้เร็วขึ้น และผู้ผลิตควรปรับกระบวนการผลิตตาม BCG Economy เพื่อยกระดับรายได้และการจ้างงานของประเทศให้เพิ่มขึ้น

ttb analytics ระบุว่า ภาคการผลิตไทยมีความสำคัญกับเศรษฐกิจโดยคิดเป็น 27% ของจีดีพีรวม และจ้างงานรวมกว่า 9 ล้านคน จากการที่ไทยประสบกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นมา เกิดการจำกัดการเคลื่อนย้ายประชากรทั่วโลก ทำให้ความต้องการบริโภคสินค้าลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตไทยได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ttb analytics ทำการศึกษาโครงสร้างของภาคการผลิตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (60-64) เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นช่วงที่การผลิตเติบโตในเกณฑ์ต่ำ นอกจากนี้ จะทำการประเมินต่ออีกว่าภาคการผลิตใดฟื้นตัวแล้ว กำลังฟื้น หรือยังต้องระมัดระวัง หลังไทยประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง

ข้อมูลสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) พบว่า รายได้จากการจำหน่ายสินค้าของภาคการผลิตไทย นับตั้งแต่ปี 60-64 ขยายตัวเฉลี่ย 1.3% ต่อปี โดยยอดขายในประเทศขยายตัวเฉลี่ย 1.7% ต่อปี ในขณะที่ยอดส่งออกขยายตัวเฉลี่ย 0.6% ต่อปี ชี้ว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้จากตลาดในประเทศเป็นแหล่งการเติบโตของภาคการผลิตไทย โดยเฉพาะในปี 62-63 ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แม้ว่ากำลังซื้อจะหดหายทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เนื่องจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีมาตรการล็อกดาวน์จำกัดการเดินทางของประชาชน และงดการเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างกันเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด

อย่างไรก็ดี การจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมตลาดในประเทศ ช่วยพยุงรายได้ของผู้ผลิตไว้ และเมื่อพิจารณาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 จะพบว่า รายได้ของภาคการผลิตไทยลดลงกว่า -16.2% เมื่อเจาะลึกแยกเป็นตลาดในประเทศและตลาดส่งออก พบว่าตลาดในประเทศหดตัว -15.5% ซึ่งลดลงในระดับที่น้อยกว่าตลาดส่งออกที่หดตัวถึง -17.5%

ในปี 63 ยอดขายลดลงเกือบทุกหมวดการผลิต ยกเว้นภาคการผลิตกลุ่มอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ล็อกดาวน์ แต่ยังสามารถเติบโตบ้างได้ตามความต้องการบริโภคในประเทศที่ยังคงมีอยู่ และกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ยางพารา ได้แก่ ถุงมือยาง ที่ทางการแพทย์มีความต้องการใช้อย่างมากในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ภาคการผลิตในกลุ่มคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ก็เป็นหนึ่งอุตสาหกรรมการผลิตที่สามารถเติบโตได้ดี เนื่องจากมีความต้องการของผู้บริโภคใช้ทำงานจากที่บ้าน (Work From Home)

ส่วนในปี 64 ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มลดลง เนื่องจากประเทศต่างๆ รวมถึงไทยเร่งฉีดวัคซีนป้องกันครอบคลุมประชากรของประเทศ ทำให้การจำหน่ายสินค้าภาคการผลิตไทยในปี 64 กลับมาขยายตัวได้ 18.4% จากปี 62-63 ที่หดตัว -6.0% และ -16.2% โดยในปี 64 ทุกหมวดการผลิตเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้บ้าง หลังจากหดตัวอย่างมากในช่วงปี 62-63

อย่างไรก็ดี มีเพียง 2 กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตที่ยังไม่ฟื้น ได้แก่ 1. การผลิตเครื่องดื่ม เนื่องจากมาตรการการผ่อนคลายจำกัดการเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงยังมีการปิดพรมแดนอยู่ ทำให้ความต้องการเครื่องดื่มยังลดลงต่อเนื่อง และ 2. การผลิตวัสดุก่อสร้างที่เติบโตต่ำจากการก่อสร้างของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อที่ลดลง

จากการวิเคราะห์ปริมาณและมูลค่าการจำหน่ายสินค้าของภาคการผลิตไทย ttb analytics นำมาคำนวณเป็นดัชนีการจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม แยกออกเป็น 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ดัชนีปริมาณการจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม และดัชนีราคาขายสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อสะท้อนการเติบโตของมูลค่ารายได้ว่าเป็นผลที่มาจากปริมาณการจำหน่าย หรือมาจากราคาที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ พบว่า ในปี 65 มูลค่าการจำหน่ายสินค้าของภาคการผลิตไทยที่เติบโตถึง 22.6% นั้น เป็นการเติบโตที่มาจากราคาขายสินค้าเป็นหลัก ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายทรงตัว และเข้าใกล้ปริมาณการจำหน่ายปี 62 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ชี้ว่าปริมาณการจำหน่ายเริ่มฟื้นตัวเข้าสู่ระดับปกติ แต่มีความเสี่ยงด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ประกอบการมีการปรับราคาสินค้าตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในระยะต่อไป อาจจะกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในปี 66 ได้ หากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ดี หลังจากภาครัฐผ่อนปรนมาตรการการจำกัดการใช้ชีวิตของประชาชน และเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ttb analytics ประเมินว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 65 จะขยายตัว 3.2% และในปี 66 จะขยายตัวต่อเนื่อง 3.7% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ที่ได้รับผลดีจากการผ่อนปรนการควบคุมโรค ทำให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติ

จากสถิติมูลค่าและปริมาณการจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม ที่เก็บรวบรวมโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ttb analytics นำมาคำนวณเป็นดัชนีปริมาณการจำหน่ายผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรมรายอุตสาหกรรม เทียบกับปี 62 ซึ่งเป็นปีก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อให้ทราบทิศทางการฟื้นตัวของภาคการผลิตแยกเป็นรายอุตสาหกรรม พบว่า ในปี 65 อุตสาหกรรมการผลิตเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ปริมาณการจำหน่ายเริ่มฟื้นแล้ว รายละเอียดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  • อุตสาหกรรมการผลิตที่ฟื้นแล้ว ได้แก่ เครื่องจักรและชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยางพารา เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน อาหาร ยาและเวชภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน พลังงาน
  • อุตสาหกรรมการผลิตที่กำลังฟื้น ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ อาหารสัตว์ การแปรรูปสินค้าเกษตร (น้ำตาล มันสำปะหลัง ผักและผลไม้) สินค้าอุปโภคบริโภค
  • อุตสาหกรรมการผลิตที่ยังต้องระมัดระวัง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ สินค้าแฟชั่น วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ การผลิตเหล็ก

สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทยเติบโตได้ค่อนข้างต่ำขยายตัวเพียง 1.3% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และเมื่อพิจารณาโครงสร้างการผลิตไทย พบว่า มีการกระจุกอยู่ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน (24%) พลังงาน (13%) เคมีภัณฑ์ (10%) อาหาร (10%) อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน (6%) เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน (5%) ซึ่งที่ผ่านมา ต่างได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และกระบวนการผลิตเริ่มล้าสมัยแล้ว

ในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่เหล่านี้ ภาครัฐพยายามยกเครื่องให้เป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ (New S-Curve Industry) ที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยภาครัฐเริ่มส่งเสริมและสนับสนุนนับตั้งแต่ปี 61-65 โดยวางเป้าหมายว่า 12 อุตสาหกรรมสมัยใหม่ ได้แก่ 1. ยานยนต์และชิ้นส่วน 2. การเกษตรและแปรรูปอาหาร 3. ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 4. เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 5. การท่องเที่ยว 6. การแพทย์ 7. เทคโนโลยีชีวภาพ 8. ดิจิทัล 9. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา 10. ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ 11. อากาศยาน และ 12. ป้องกันประเทศ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่า 5% ต่อปี ในอนาคตอันใกล้นี้

ttb analytics มองว่า เมื่อสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง ถึงเวลาที่ภาครัฐจะต้องเร่งรัดให้เกิดการลงทุนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเรื่องการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เกิดขึ้นจริง เพื่อยกระดับรายได้ภาคการผลิตไทย จากปัจจุบันที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ค่อนข้างต่ำ ให้กลับมาเติบโตสู่ศักยภาพที่เคยทำได้หรือดีกว่าเดิม เพื่อให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศกลับมาขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 13 ที่กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

ด้านผู้ผลิต จำเป็นต้องปรับกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับเทรนด์ BCG Economy ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นการเติบโตควบคู่ไปกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาโลกร้อนด้วยในเวลาเดียวกัน พร้อมทั้งยกระดับการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

“การเร่งรัดการลงทุน EEC และการปรับกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับ BCG Economy คาดว่าจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้รายได้ของผู้ผลิตเพิ่มขึ้น เกิดการจ้างงาน และแรงงานมีทักษะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอย่างยั่งยืนต่อไป” บทวิเคราะห์ ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 65)

Tags: , , ,