
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองเห็นจังหวะโอกาสการสร้างผลตอบแทนจากตราสารหนี้ทั่วโลก พร้อมกับโอกาสการสร้างกระแสรายได้ระหว่างทางให้กับนักลงทุน เพื่อช่วยชดเชยความผันผวนภายใต้สภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน บริษัทฯ จึงได้เปิดเสนอขาย กองทุนเปิดกรุงไทย World Class Income (KTWC-INCOME) (ความเสี่ยงระดับ 5) บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนจาก Fidelity International ซึ่งที่ผ่านมาได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มกองทุน KTWC Series โดยจะเปิดเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 17 – 23 มิถุนายน 2568 นี้ ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ผ่านธนาคารกรุงไทย รวมถึงแอปพลิเคชัน Next และ KTAM Smart Trade
สำหรับกองทุน KTWC-INCOME เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม และ/หรือกองทุนรวม ETF ในต่างประเทศ ทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ทรัพย์สินทางเลือก เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก โดยจะลงทุนในกองทุนรวมและ/หรือ ETFอย่างน้อยตั้งแต่ 2 กองทุน เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งไม่เกิน 79% ของ NAV และกองทุนมีการลงทุนที่ส่งผลให้มี net exposure ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
อย่างไรก็ตาม กองทุนจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 30% ของ NAV โดยกองทุนจะเน้นกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั่วโลก เพื่อโอกาสรับกระแสรายได้ระหว่างทางอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ บริษัทจัดการจะมอบหมายให้ FIL Investment Management (Hong Kong) Limited ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Fidelity International เป็นผู้รับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุน โดยไม่รวมในส่วนการลงทุนเพื่อสภาพคล่อง
กองทุนมีกลยุทธ์เน้นสร้างกระแสรายได้จากแหล่งที่มาที่มีความหลากหลาย โดยจะเน้นการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั่วโลกใน (1) สินทรัพย์ที่มีคุณภาพ (Quality Assets) เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ Investment grade ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ (>BBB-) (2) สินทรัพย์เพื่อสร้างกระแสรายได้ (Carry Assets) เช่น ตราสารหนี้ High yield และตราสารหนี้ Emerging market และ (3) สินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ (Opportunistic Assets) เช่น Leveraged loan, Listed private debt (BDCs) และหุ้นกู้แปลงสภาพ โดยกองทุนจะกำหนดกรอบการลงทุนเป็นสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) ไม่เกิน 60% และสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ไม่เกิน 15% โดยเบื้องต้นได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนเป้าหมายในกลุ่มตราสารหนี้ High Yield ประมาณ 35% และสินทรัพย์ทางเลือกประมาณ 10%
นอกจากนี้ กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หน่วยลงทุน CIS กองทุน ETF หน่วย infra หน่วย private equity หน่วย property และ/หรือเงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนหลักทรัพย์หรือ ทรัพย์สินอื่น ตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศกำหนด (กลยุทธ์และสัดส่วนการลงทุนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางผู้จัดการกองทุน ที่มา : Fidelity International ข้อมูล ณ 30 พ.ค. 2568)
นอกจากความน่าสนใจจากการสร้างกระแสรายได้จากแหล่งที่มาที่มีความหลากหลายในทุกสภาวะตลาด และบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอย่าง FIL Investment Management (Hong Kong) Limited แล้ว ยังสามารถมีโอกาสสร้างกระแสรายได้ในระดับที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร ผ่านกระบวนการในการสร้างพอร์ตการลงทุนอย่างมีวินัย พร้อมทั้งยังสร้างความสมดุลด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงจากแหล่งที่มาของความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลความเสี่ยงระหว่างด้านเครดิต และด้านอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้เกิดเสถียรภาพตลอดวัฏจักรของตลาดด้วย
“สำหรับจุดเด่นของ KTWC-INCOME นอกจากจะเพิ่มโอกาสสร้างความมั่นคงในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนแล้ว ยังมาจาก Yield ของตราสารหนี้ที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันที่อยู่ในระดับน่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต จึงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนเพื่อสร้างกระแสรายได้ในอนาคต รวมถึงแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ที่อาจช่วยให้ราคาพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น และเพิ่มมูลค่าให้แก่เงินลงทุนได้ นอกจากนี้ บริษัทในปัจจุบันมีความยืดหยุ่นมากกว่าช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลก จึงส่งผลให้พื้นฐานของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นกว่าในอดีต โดยจะเห็นได้จากระดับหนี้สินที่ต่ำลง และมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่ลดลง ดังนั้น กองทุน KTWC-INCOME จึงเป็นทางเลือกอีกหนึ่งกองทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในช่วงสภาวะตลาดที่มีความผันผวน และเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเน้นลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าหุ้นได้เช่นกัน” นางชวินดา กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 มิ.ย. 68)