
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า จะยังเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกจากความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า สภาพเศรษฐกิจและการเมืองไทย คาดว่าทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในอดีต แต่บล.ที่มีการกระจายรายได้ โดยไม่พึ่งพาค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่สูงมาก คาดว่าประคับประคองผลประกอบการให้มีกำไรได้อยู่
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของบล.ในปีนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อเนื่อง เนื่องจากรายได้ของบล.ส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายที่น่าจะชะลอตัวลงจากปีก่อน แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/68 จะลดลงเพียง 3% แต่จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ สภาพเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ ขาดปัจจัยขับเคลื่อน และความไม่แน่นอนทางการเมือง น่าจะทำให้ตลาดในบ้านยังคงขาดความน่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายอาจจะฟื้นตัว หากการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและไทย ออกมาในทิศทางที่ดี ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้มากกว่าที่ตลาดคาด อาจจะทำให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับสนใจตลาดไทยหลังจากที่มียอดขายสุทธิมาตลอดหลายปี
ในปี 67 รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 11% จากปริมาณการซื้อขายที่ลดลง โดยมีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันลดลงมาอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท จาก 5.1 หมื่นล้านบาทในปี 66 และ ข้อมูลล่าสุดของปีนี้ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาทต่อวัน
แม้ว่ารายได้ส่วนอื่นๆ จะปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มที่ไม่สดใสนัก กลุ่ม บล.มีการกระจายรายได้ไปสู่รายได้จากธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน ทำให้มีรายได้จากการซื้อขายหน่วยลงทุนเป็นตัวช่วยหนุน ซึ่งในปี 67 เติบโตถึง 52% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 30% ในไตรมาส 1/68 เทียบกับไตรมาส 1/67 ทำให้รายได้จากธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนมีสัดส่วนต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 9% จาก 4% ในปี 65 โดยการเสนอขายหน่วยลงทุนที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่งที่บริษัทเป็นตัวแทน
โดยหน่วยลงทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) ที่อ้างอิงดัชนีต่างๆ เริ่มมีความนิยมมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นสำหรับประเทศไทย แต่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ต่อเนื่อง ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมรายได้ค่าธรรมเนียมซื้อขายของ บล.ได้ รวมทั้งในบางกรณีมีส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน หรือจากการแนะนำลูกค้าเข้ากองทุนด้วย
แต่ในส่วนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) ทริส เรทติ้ง มองว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายหน่วยลงทุนส่วนนี้อาจจะเป็นผลบวกต่อบล. แต่ไม่น่าจะมีนัยสำคัญ จากสิทธิลดหย่อนภาษีของ Thai ESGX ที่อาจไม่จูงใจพอ และระยะถือครองนานถึง 5 ปี รวมถึง การโอนย้ายภายในบลจ.เดียวกันจะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งคาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะโยกหน่วยลงทุนภายในบลจ.เดียวกันมากกว่าเพื่อประหยัดค่าธรรมเนียม
ในส่วนของรายได้ทั้งจากการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin loan) และจากธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking – IB) ทริสเรทติ้งคาดว่ายังไม่น่าจะเติบโตในครึ่งหลังของปี ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่กดดันรายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ เนื่องจากรายได้จาก Margin loan และ IB ในอดีตมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 18%-20% ของรายได้รวม แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 13% โดยบล.ส่วนใหญ่น่าจะยังคงเข้มงวดและระมัดระวังในการปล่อยกู้มาร์จิ้นมากขึ้น
หลังปี 67 บล.บางแห่งมีการขยายฐานสินเชื่อ Margin loan หรือ Credit Balance อย่างรวดเร็ว เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง มูลค่าหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันก็ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้ต้องตั้งสำรองในระดับที่สูง และเกิดผลขาดทุนอย่างหนัก เป็นสาเหตุหลักให้ทั้งอุตสาหกรรมบล.รายงานขาดทุนสุทธิ 2.87 พันล้านบาทในปี 67 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ทำกำไรไปได้ 3.76 พันล้านบาท
ในช่วงไตรมาส 1/68 ผลขาดทุนด้านเครดิตปรับตัวมาอยู่ระดับปกติ แต่กำไรสุทธิของกลุ่มบล.ก็ลดลงไป 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 920 ล้านบาท โดยรายได้รวมลดลง 8% ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการลงทุนที่หดตัวลง 34% เนื่องจากรายการขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนที่สูงถึง 3.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/68 จากสภาวะตลาด SET ปรับตัวลดลงอย่างมากและต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี
อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจ IB ในปีนี้ บล.ที่มีชื่อเสียงและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้าน IB ยังคงสามารถชดเชยรายได้จาก IPO ที่ลดลง โดยให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินหรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยในปี 67 รายได้จากธุรกิจ IB ลดลง 24% และในไตรมาส 1/68 ก็ลดลง 17% สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุนที่ซบเซาและการขาดความเชื่อมั่นจากการที่ราคาหลักทรัพย์หลายตัวปรับตัวลดลงอย่างมากหลัง IPO ทำให้บริษัทที่ต้องการระดมทุนในตลาดทุนต้องเลื่อนแผนการระดมทุนออกไป
ธุรกิจกลุ่ม บล. ยังมีปัจจัยเสี่ยงสำหรับปีนี้ ได้แก่ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) จากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ที่บริษัทถือครองไว้ ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ในสภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย บล.อาจเผชิญความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าบัญชีเงินสด และลูกค้าบัญชีเครดิตบาลานซ์ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ แต่ก็ลดทอนความเสี่ยงได้จากการใช้หลักทรัพย์ในบัญชีเป็นหลักประกัน และการกำหนดวงเงินการซื้อขายให้เหมาะสม
ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk) เนื่องจากบล.ยังคงต้องพึ่งพาบุคลากรในการให้คำแนะนำด้านการลงทุน ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากการทำงานได้ง่าย โดยในบางกรณีอาจนำไปสู่การละเมิดกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บล.ต้องเสียค่าปรับ ถูกยกเลิก ใบอนุญาต หรือการถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย และอาจทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันใน ระยะยาว
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและกฎหมาย (Regulatory Risk) โดยการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้ต้องเผชิญภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงระบบงาน การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ และการฝึกอบรมบุคลากร หากบริษัทไม่สามารถปรับตัวได้ทันเวลา อาจนำไปสู่การถูกปรับ การจำกัดขอบเขตการดำเนินงาน หรือแม้กระทั่ง การถูกเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งส่งผลเสียต่อฐานะทางการเงิน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)