
หากประเทศไทยจะมี “เมืองพลังงานอัจฉริยะ” เป็นเมืองที่คนในเมืองสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าในเมืองได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นเวลาที่ฝนตกหรือแดดไม่ออก บริการพลังงานสะอาดดังกล่าวอาศัย “ระบบสมอง” ที่มีศักยภาพในการคาดการณ์ถึงความผันผวนไม่แน่นอนของทรัพยากรพลังงานหมุนเวียนที่จะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า อีกทั้งยังสามารถคาดการณ์ปริมาณความต้องการไฟฟ้าของคนในเมืองได้เพื่อทำให้มีไฟฟ้าเพียงพอต่อการใช้งาน หากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่พอจริง ๆ ก็อาจเรียกพลังงานไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าอื่นมาเพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอนั้นได้ ระบบสมองนี้ยังสามารถสื่อสารให้คนในเมืองลดหรือเปลี่ยนเวลาการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูง โดยผู้ใช้ไฟฟ้าจะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจากการลดหรือเปลี่ยนเวลาการใช้ไฟฟ้า ความอัจฉริยะของระบบสมองนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ คำถามคือ การใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลดังกล่าวนี้เป็นกิจการที่ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน และจะตกอยู่ในการกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือไม่?
ระบบไฟฟ้าของเมืองพลังงานอัจฉริยะนั้นอาจมีการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนโดยรับเอาไฟฟ้าที่ผลิตจากแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทรัพยากรพลังงานหมุนเวียนอื่น หรือแม้กระทั่งไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเชื้อเพลิงที่ถูกยอมรับได้ว่าเป็นเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ และนำไฟฟ้าดังกล่าวมาจ่ายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเมือง เช่น Data Center ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามเป้าหมาย RE100 โรงแรมที่ประสงค์จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในเมือง สำนักงานทั่วไป หรือแม้กระทั่งจุดบริการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าในเมือง หากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนนั้น “เพียงพอ” อยู่ตลอดเวลา ไม่ผันผวน ไม่หยุดชะงัก ก็คงจะเป็นการดี
อย่างไรก็ตาม ไฟฟ้าที่ผลิตจากทรัพยากรพลังงานหมุนเวียนนั้นแตกต่างไปจากไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาดใหญ่ เช่น โรงไฟฟ้าที่ได้ไฟฟ้าจากการเผาก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมเหล่านี้สั่งเดินเครื่องได้อย่างแน่นอนตราบเท่าที่มีเชื้อเพลิงฟอสซิลดังกล่าว แต่โครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามีทรัพยากรพลังงานหมุนเวียนเมื่อใดก็นำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าได้เมื่อนั้น แต่ไม่ว่าไฟฟ้าจะผลิตจากที่ใด หรือใช้ทรัพยากรใด ในมุมมองของผู้ใช้ไฟฟ้าแล้วย่อมประสงค์ที่จะได้ไฟฟ้าที่เพียงพอและพร้อมสำหรับการใช้งาน (Availability) อยู่เสมอ
ดังนั้นแล้ว หากมีคนที่สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์ได้ว่าทรัพยากรพลังงานหมุนเวียนที่จะนำมาผลิตไฟฟ้าจะมีการผันผวน ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดในลักษณะใดหรือในเวลาใด และขณะเดียวกันก็สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของคนในเมืองได้ และใช้ข้อมูลจากการพยากรณ์ดังกล่าวนำมาวิเคราะห์และใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มหรือลดไฟฟ้าในระบบ เช่น การดึงไฟฟ้าจากแหล่งการผลิตไฟฟ้าอื่นมาเสริมในกรณีที่ไฟฟ้าไม่เพียงพอหรือการสั่งให้ลดการผลิตไฟฟ้าในกรณีที่ไฟฟ้าในระบบมีมากเกินความจำเป็น อีกทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์เพื่อสื่อสารกับคนในเมืองว่าหากลดการใช้ไฟฟ้าในเวลาใดแล้วจะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้า จะเห็นได้ว่าการใช้ประโยชน์จากข้อมูลการพยากรณ์ย่อมช่วยให้ระบบไฟฟ้าของเมืองนี้ทั้งมีคาร์บอนต่ำและมีความมั่นคงมากขึ้น
คนที่จะทำหน้าที่ให้บริการ “สมอง” ของระบบไฟฟ้านี้จะต้องลงทุนและลงมือจัดทำข้อมูลพยากรณ์พลังงานหมุนเวียนเพื่อการบริหารจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้า ติดตามและปรับปรุงความแม่นยำของการพยากรณ์อย่างต่อเนื่อง ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพข้อมูลของมาตรวัดอัจฉริยะ (Smart Meter) ในระบบไฟฟ้าและในสถานีตรวจอากาศโดยปฏิบัติให้ได้ตามมาตรฐานการวัดและการบำรุงรักษาอุปกรณ์วัดตามที่กำหนด แลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ประกอบกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าและผู้ผลิตไฟฟ้าโดยจัดให้มีระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) รองรับ และที่สำคัญคือ ผู้ประกอบกิจการศูนย์ระบบการพยากรณ์นี้จะต้องติดต่อประสานงานและรับข้อมูลจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ซึ่งมีความผันผวน) เพื่อใช้ข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการพยากรณ์
การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการพยากรณ์นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence System) ซึ่งสามารถเรียนรู้และสอนตัวเองให้ฉลาดขึ้นอยู่ตลอดเวลาได้ บริษัท Hitachi ได้เผยแพร่บทความชื่อ “How AI and Machine Learning Are Transforming Energy Forecasting” ซึ่งให้คำอธิบายว่า ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การพยากรณ์จะใช้นักวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลรูปแบบจากอดีตและการเปรียบเทียบกับ “วันที่คล้ายกัน (similar day)” เพื่อประมาณการอุปสงค์และอุปทานไฟฟ้า โดยมีข้อสังเกตว่าหากการผลิตนั้นอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีความแน่นอน (stable) การคาดการณ์เหล่านี้ย่อมสามารถทำงานได้
อย่างไรก็ตาม ความแน่นอนข้างต้นถูกท้าทายด้วยความผันผวนของทรัพยากรพลังงานหมุนเวียน Hitachi อธิบายว่า ทรัพยากรลมและแสงอาทิตย์นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการผันผวนโดยธรรมชาติ (natural variabilities) ในขณะที่พฤติกรรมการใช้พลังงานก็มีการเปลี่ยนแปลง ในเวลาเดียวกัน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการไฟฟ้านั้นก็สามารถสร้างชุดข้อมูล (Dataset) เพื่อนำมาให้ระบบ AI เรียนรู้โดยนำข้อมูลจากมาตรวัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและข้อมูลจากการใช้เซนเซอร์ที่เชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต (Internet of Things (IoT) sensors) และข้อมูลจากการผลิตพลังงานแบบกระจายศูนย์
การเกิดขึ้นและไหลเวียนของข้อมูลเหล่านี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการพยากรณ์การผลิตและใช้ไฟฟ้าได้ การประมวลผลข้อมูลจะช่วยให้มีการวิเคราะห์ข้อมูลตามเวลาจริง (Real Time) สิ่งที่วิเคราะห์ไม่ใช่ข้อมูลจากอดีตแต่เป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (ซึ่งเป็นกระบวนการที่วิธีการพยากรณ์แบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้) ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แม่นยำ และสอดคล้องกับพลวัตรของอุปสงค์พลังงาน (Demand Side) มากขึ้น
Hitachi ยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า ระบบไฟฟ้าสามารถถูกพัฒนาให้มีระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (Machine Learning หรือ ML) โดยใช้ชุดข้อมูลซึ่งรับเอาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบ (Pattern) ของสภาพอากาศและรูปแบบการผลิตไฟฟ้า เพื่อพยากรณ์รูปแบบการผลิตให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ข้อมูลที่นำมาสร้างชุดข้อมูลนั้นสามารถนำมาจากแหล่งข้อมูลหลายพันแหล่ง เช่น จุดที่มีการใช้ไฟฟ้า กังหันลม หรือแผงโซลาร์เซลล์ ผ่านระบบมาตรวัดอัจฉริยะ (โดยไม่ต้องอาศัยแรงคนโดยตรง)
หาก Hitachi จะนำเอาเทคโนโลยี AI และ ML เพื่อการพยากรณ์ไฟฟ้ามาให้บริการในเมืองพลังงานอัจฉริยะ เช่น จะให้บริการศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนสำหรับเมืองอัจฉริยะด้านพลังงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ซึ่ง กพอ. ประสงค์ที่จะพัฒนาให้มี “ศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ” ขนาด 15,000 ไร่ที่จะเป็นเมือง “พลังงานสะอาด 100% น้ำพึ่งพาตนเอง คาร์บอนและขยะเป็นศูนย์ ปรับตัวได้ รองรับสภาวะโลกอนาคต” (ข้อมูลจากเว็บไซต์ของสำนักงาน EEC) คำถามคือ กพอ. จะ “ให้สิทธิ” แก่ Hitachi ในการลงทุนเพื่อประกอบกิจการศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนสำหรับศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะได้หรือไม่?
กพอ. มีอำนาจตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ในการอนุมัติ อนุญาต หรือให้สิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงานแก่บุคคลซึ่งดำเนินการอันเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยจะต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน จากข้อกฎหมายข้างต้น กพอ. อาจให้อนุญาตแก่ Hitachi ในการประกอบกิจการศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าเพื่อศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะโดยเฉพาะได้ เมื่อพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 รองรับการให้อนุญาตนี้
หากว่ากันตาม “ตัวบทกฎหมาย” แล้ว พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มิได้บัญญัติให้กิจการ “ศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน” นั้นเป็นกิจการพลังงานประเภทหนึ่งตามกฎหมาย เนื่องจากบัญญัติให้ “กิจการไฟฟ้า” หมายความว่า การผลิต การจัดให้ได้มา การจัดส่ง การจำหน่ายไฟฟ้าหรือการควบคุมระบบไฟฟ้า และได้บัญญัตินิยามของ “ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า” ให้หมายความว่า “หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการควบคุมระบบไฟฟ้า”
ผู้เขียนมีความเห็นว่าแม้กิจการ “ศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวน (RE Forecast)” นั้นจะมิได้เป็นประเภทกิจการไฟฟ้าที่มีถ้อยบัญญัติตามนิยามของ “กิจการไฟฟ้า” ของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 แต่เมื่อการทำงานและการให้บริการของศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนนั้น มีศักยภาพที่จะควบคุมการไหลเวียนของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่จะถูกเรียกจากแหล่งผลิตมาเพื่อจำหน่ายต่อให้กับคนในเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะได้ก็ย่อมเป็นไปได้ที่จะถือว่า ศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ “ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า” เนื่องจากการให้บริการนี้สนับสนุนให้สามารถบริหารระบบการจัดการไฟฟ้าในประเทศไทยมีประสิทธิภาพโดยใช้ข้อมูลวัดและข้อมูลพยากรณ์ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากการตีความนิยามของคำว่า “กิจการไฟฟ้า” ตามแนวทางข้างต้นจะส่งผลให้ กกพ. มีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์ประเภทและอายุใบอนุญาตกิจการศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนได้ตามมาตรา 47 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 ส่งผลให้ กพอ. สามารถอ้างอิงพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 ในการให้สิทธิแก่บุคคลในการขอรับใบอนุญาตศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวน (RE Forecast) เพื่อสนับสนุนพลังงานสะอาดในศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะได้
เมื่อกิจการศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้ากลายเป็นการประกอบธุรกิจที่เข้าสู่ระบบใบอนุญาตและการกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 แล้ว กกพ. ยังสามารถใช้อำนาจกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 ออกประกาศกำหนด หลักเกณฑ์การกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวน (RE Forecast) กำหนดนิยามของตัวผู้ประกอบการศูนย์ระบบพยากรณ์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ประกอบการศูนย์ระบบพยากรณ์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น กำหนดให้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยให้ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าประเภทนี้ซึ่งมีการซื้อขายกันโดยตรงระหว่างเอกชน มีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลให้ศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวน
นอกจากนี้ กกพ. ยังอาจกำหนดให้มีหลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์และแผนกำลังผลิตของพลังงานหมุนเวียนแบบผันผวน รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ด้านข้อมูล การสื่อสาร คุณภาพข้อมูล และการกำกับดูแลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์และแผนกำลังผลิตของพลังงานหมุนเวียนแบบผันผวน เพื่อใช้บังคับระหว่างผู้รับใบอนุญาตศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนได้
โดยสรุปแล้ว “กฎหมายไทยในปัจจุบัน” ได้แก่พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พ.ศ. 2550 เปิดให้มีการเข้าสู่ตลาดพลังงานที่อาจเกิดขึ้นใหม่นี้โดยไม่ต้องเสียเวลาที่จะต้องแก้ไขกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ และสามารถกำกับดูแลการประกอบกิจการผ่านการออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตได้ นอกจากนี้ มาตรา 37 วรรคสองแห่งหลักเกณฑ์การกำกับดูแลผู้รับใบอนุญาตนั้นยังให้อำนาจแก่ กพอ. แจ้งแก่ กกพ. ในการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และอาจจะออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่ กพอ. เห็นสมควรในการให้สิทธิประกอบกิจการศูนย์ระบบการพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนเพื่อรองรับศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะโดยเฉพาะได้
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 68)