บาทแข็งสุดในรอบ 4 ปี รับแรงหนุนราคาทองคำ-คาดเฟดลดดบ. ระยะสั้นยังแข็งค่าต่อ

น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่า การที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ ซึ่งเป็นการแข็งค่าหลุดระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ โดยล่าสุดเมื่อเวลา 11.10 น. เงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 31.65 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการแข็งค่าต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ ที่ถือว่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี และยังเป็นการแข็งค่านำสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย

ทั้งนี้ การที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วเมื่อวานนี้ เป็นผลจากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือน ส.ค.68 ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด จึงทำให้ตลาดมีความมั่นใจมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ด้วย ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงครั้งละ 0.25%

น.ส.รุ่ง กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ การที่เงินบาทแข็งค่านำสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เป็นผลมาจากปัจจัยของราคาทองคำโลกที่เข้ามาหนุนให้เงินบาทแข็งค่าเร็ว เพราะราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการ (All time high) ตลอดเกือบทั้งสัปดาห์ ซึ่งเมื่อราคาทองคำพุ่งขึ้นต่อเนื่อง จะทำให้ผู้ค้าทองในประเทศ ส่งออกทองคำและนำเงินดอลลาร์ที่ขายได้มาแลกเป็นเงินบาท จึงทำให้เงินบาทแข็งค่าไปค่อนข้างเร็วกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค

สำหรับแนวโน้มระยะสั้น มองว่า เงินบาทในสัปดาห์นี้มีโอกาสแข็งค่าต่อได้อีก โดยให้แนวรับไว้ที่ 31.50 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งหากเงินบาทหลุดลงไปทดสอบที่ระดับ 31.50 บาท/ดอลลาร์ได้ หลังจากนั้นอาจจะสลับกลับมาอ่อนค่าขึ้นบ้างได้ในช่วงสัปดาห์หน้า

“ระยะสั้น เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อได้ เพราะจากการที่นิ่งมา 2 เดือนแล้วหลุดกรอบลงมา คิดว่าแนวโน้มในระยะสั้น น่าจะมีโอกาสจะแข็งค่าได้ต่อ แต่จากที่มองว่า แบงก์ชาติมีสัญญาณการเข้ามาดูแลด้วย แต่ก็คงไม่สามารถฝืนกระแสบาทแข็งค่า จากการที่ราคาทองคำขึ้นไปเยอะได้” น.ส.รุ่ง กล่าวกับ “อินโฟเควสท์”

สำหรับปัจจัยในประเทศ เช่น การเมืองไทย โดยเฉพาะการมีรัฐบาลชุดใหม่นั้น มองว่าปัจจัยการเมืองในประเทศ มีผลค่อนข้างจำกัดต่อทิศทางของค่าเงินบาท ซึ่งจะเห็นได้จากที่ผ่านมา การที่เงินบาทจะแข็งค่าหรืออ่อนค่านั้น ส่วนใหญ่จะสะท้อนจากปัจจัยต่างประเทศมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการค้าของสหรัฐ, การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด รวมทั้งราคาทองคำในตลาดโลก

“ปัจจัยการเมือง ให้น้ำหนักค่อนข้างน้อยกว่า เพราะบาทที่แข็งค่า หรืออ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา จะสะท้อนจากปัจจัยราคาทองคำ ซึ่งมาจากเรื่องของนโยบายการค้าสหรัฐ การคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟดเป็นหลัก ส่วนปัจจัยในประเทศ มีผลค่อนข้างจำกัดต่อเงินบาท” น.ส.รุ่ง ระบุ

ทั้งนี้ อาจจะต้องรอติดตามการประชุม FOMC ในสัปดาห์หน้า เพราะหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จริง ก็อาจจะทำให้ตลาดมีการขายเงินบาทเพื่อทำกำไร แล้วกลับไปถือดอลลาร์ ซึ่งจะมีผลให้เงินบาทมีโอกาสกลับมาอ่อนค่าได้ในสัปดาห์หน้า

น.ส.รุ่ง ยังมองว่า หากฝ่ายการเมืองของสหรัฐฯ กดดันให้เฟดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ทั้ง ๆ ที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังลงได้ช้า ก็จะเป็นภาวะที่เงินดอลลาร์สหรัฐ อาจจะถูกเทขายอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดจะมองว่าไม่ใช่การตัดสินใจทำนโยบายการเงินบนพื้นฐานของเศรษฐกิจ แต่ถูกแรงกดดันทางการเมืองทำให้ต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งถ้าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังสูง และเฟดลดดอกเบี้ยนโยบายต่อไปเรื่อย ๆ ราคาทองคำตลาดโลกก็จะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และก็จะวนกลับมาทำให้เงินบาทแข็งค่าได้อีก

 

อนึ่ง วานนี้ (8 ก.ย.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย น.ส.พิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% อยู่ในกลุ่มนำเงินสกุลเงินภูมิภาค โดยการเคลื่อนไหวแข็งค่าของสกุลเงินภูมิภาค และค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ จากการที่ผู้ร่วมตลาดคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่เงินบาทได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง

ในระยะถัดไป ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนสูง โดย ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงิน เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการในการลดผลกระทบจากราคาทองคำต่อค่าเงินบาท ทั้งนี้ ภาคเอกชนควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ก.ย. 68)