All About ESG : “NET ZERO” เร็วขึ้น 15 ปี ไทยทำได้มั้ย !?

ซิ่งเต็มสปีด !! เมื่อรัฐบาลประกาศปรับเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมวางแพลนไว้ในปี 2065 ขยับขึ้นมาเป็น 2050 นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะสอดคล้องไปกับแนวทางของประเทศอื่นทั่วโลก และแสดงถึงการหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

แต่คำถามสำคัญก็คือ… เราจะทำได้หรือ !?

นั่นก็เพราะความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า มีทั้งต้นทุนมหาศาล หรือกฎหมายที่ยังไม่เป็นภาคบังคับ รวมไปถึงความกังวลของผู้ประกอบการ ที่อาจจะต่อต้าน มองเรื่องนี้เป็นวิกฤตไม่ใช่โอกาส !

“All About ESG” EP. นี้ จะมาพูดคุยกับนายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ที่จะมายืนยันว่าการเร่งเครื่องครั้งนี้ เป็นโอกาสไม่ใช่วิกฤติ พร้อมวิเคราะห์แบบเน้น ๆ ว่าประเทศไทยจะทำได้ตามเป้าหรือไม่ !?

ปรับเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี !!

การเร่งปรับเป้าหมายครั้งนี้ส่งผลดีต่อประเทศไทย เพราะสอดคล้องไปกับแนวทางการพัฒนาของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก และการปรับเป้าให้เร็วขึ้นก็แปลว่า เราให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย

ทำช้าต้นทุนแพง คืออะไร ?

ทุกอย่างในกระบวนการขั้นตอนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีต้นทุนทั้งสิ้น ดังนั้นหากเริ่มลงมือทำตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะมีเวลาในการเตรียมตัวมากขึ้น ไม่ต้องมาเร่งทำในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือช่วงที่ต้องเร่งให้ถึงเป้า ถ้าไปรีบทำในตอนนั้นต้นทุนมันก็จะแพงขึ้น

ประเทศไทยจะทำได้จริงหรือ ?

การขยับเป้าให้ประเทศไทยเป็น Net Zero ในปี 2050 คิดว่าเป็นไปได้จริง เพราะมีแผนงานที่ชัดเจนรองรับอยู่ นั่นก็คือแผน “Thailand Decarbonization Pathway” ที่วางไว้เป็น 2 สเต็ป อย่างแรกคือเราจะเป็น Carbon Neutrality ก่อนในปี 2035 จากนั้นเราก็จะเป็น Net Zero ในปี 2050

ขณะที่แผน NDC 3.0 (Nationally Determined Contribution 3.0 : มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย) ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกันว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2035 จะต้องไม่เกิน 152 ล้านตันอีกด้วย

ความท้าทายที่เสี่ยงไปไม่ถึงเป้า ?

แม้จะมีความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมาย แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาส่งผลกระทบแน่นอน อาทิ การไม่มีแรงจูงใจที่เหมาะสมเมื่อผู้ประกอบการต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูง หรือการไม่ปรับใช้กลไกภาคบังคับอย่างจริงจัง ก็อาจจะส่งผลต่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วยเหยียบคันเร่ง !

“พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้บรรลุสู่เป้าหมาย Net Zero ได้” นายณกรณ์ กล่าว

เนื่องจาก เมื่อมีกลไกภาคบังคับและมีกลไกทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการก็จะมีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนมากขึ้น ยกตัวอย่างสาระสำคัญในพรบ. อาทิ

• การรายงานข้อมูล : ภาคเอกชนต้องให้ความสนใจเรื่องดังกล่าว เพราะนอกเหนือจากการประเมิน Carbon Footprint แล้ว ยังต้องมีการรายงานด้วย

  • การกำหนดสิทธิในการปล่อย (Allowance) : ถ้าเราปล่อยเกินสิทธิที่มี ก็จะต้องมีการปรับกิจกรรม, การเสีย Carbon Tax หรือการซื้อ Carbon Credit เพื่อชดเชย
  • การตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อม : เพื่อใช้ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หรือสนับสนุนการปรับปรุงกิจกรรมต่าง ๆ
  • บทกำหนดโทษ : สำหรับผู้ที่มีการกระทำฝ่าฝืนมาตรการข้อบังคับ

ปัจจุบันตัวพ.ร.บ.ฯ ได้บรรจุเป็น กฎหมาย Fast Track ของรัฐบาลแล้ว และคาดว่าจะผ่าน ครม. ภายในปลายเดือนพ.ย. 68 และจะเร่งให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ก่อนเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภาต่อไป

แล้ว อบก. ติดสปีดยังไงให้ทัน ?

“จริง ๆ การปรับเป้าขึ้นมาไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นสิ่งที่อยู่ในแผนงานของรัฐบาลอยู่แล้ว แต่เพิ่งจะมีการประกาศอย่างชัดเจนเท่านั้น” ผู้อำนวยการกล่าว

ดังนั้นแผนงานของอบก. รองรับการเร่งให้เกิด Net Zero ได้เร็วอยู่แล้ว อาทิ ก.ล.ต. ประกาศให้ซื้อขายโทเดนดิจิทัลที่ลดการปล่อยคาร์บอนผ่านกระดานเทรดได้ (Tokenized Carbon Credit) ก็จะทำให้ตัว Carbon Credit มีความคล่องตัวมากขึ้น ขยายสู่ตลาดได้กว้างมากขึ้น

หรือในกระบวนการตรวจสอบ-ทวนสอบภาคป่าไม้ เราก็มีการนำ AI และดาวเทียมมาใช้ ก็จะช่วยลดทั้งต้นทุนและลดระยะเวลาได้ด้วย

“ยิ่งถ้าคุณเป็นบริษัทเล็ก ไม่ได้แปลว่าคุณเสียโอกาส กลับเป็นเรื่องง่าย เพราะคุณมีการปรับตัวได้ง่ายและรวดเร็ว อันนี้คือโอกาสไม่ใช่วิกฤต การที่คุณมีความพร้อมเรื่องนี้มันคือการสร้างโอกาสทางการแข่งขันให้กับบริษัทได้ด้วย” นายณกรณ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 68)