หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งขึ้นตามตลาดตปท. บอนด์ยีลด์ชะลอหลังตัวเลขจ้างงานต่ำคาด

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวขึ้น รับปัจจัยหนุนตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐลดลง ส่งผล Bond Yield สหรัฐ ปรับลง และค่าเงินดออลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า หนุนต่อ Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น และส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดมาปรับขึ้นเช่นเดียวกัน พร้อมให้แนวต้าน 1,460 จุด แนวรับ 1,445 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งขึ้น จากปัจจัยหนุนจากตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย.ของสหรัฐที่ออกมาเมื่อคืนนี้ลดลง ทำให้ตลาดคลายกังวลในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทำให้ผลตอบแทนพันฉบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) 10 ปี ปรับตัวลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง

โดยปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนปรับเพิ่มขึ้น และส่งผลมาถึงตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เปิดมาปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะรับ Sentiment แกว่งตัวอิงทางบวกเช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ

โดยให้แนวต้าน 1,460 จุด แนวรับ 1,445 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (4 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,129.55 จุด เพิ่มขึ้น 127.17 จุด หรือ +0.39%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,263.75 จุด เพิ่มขึ้น 34.30 จุด หรือ +0.81% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,236.01 จุด เพิ่มขึ้น 176.54 จุด หรือ +1.35%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดภาคเช้าที่ระดับ 30,733.65 จุด เพิ่มขึ้น 206.77 จุด หรือ +0.68% ขณะที่ ดัชนีฮั่งเส็งเปิดที่ระดับ 17,249.97 จุด เพิ่มขึ้น 54.13 จุด หรือ +0.31% ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้ (5 ต.ค.) เนื่องในวันชาติ

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ต.ค.66) 1,451.25 จุด เพิ่มขึ้น 3.95 จุด (+0.27%) มูลค่าซื้อขาย 51,227.05 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 136.51 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 ต.ค.66

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. (4 ต.ค.) ลดลง 5.01 ดอลลาร์ หรือ 5.6% ปิดที่ 84.22 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 2566

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 ต.ค.) อยู่ที่ 5.08 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 36.88 กลับมาแข็งค่ารับดอลลาร์อ่อนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแย่กว่าคาด

– “เศรษฐา” ปลุกโรดโชว์ เปิดตลาดให้สินค้าไทย ทำหน้าที่นายกฯเซลล์แมน เตรียมพานักธุรกิจและตลาดหลักทรัพย์ โรดโชว์ต่างประเทศในฐานะทีมประเทศไทย สั่งทูตไทยเจรจาบริษัทต่างชาติ ลั่นลงทุนระบบน้ำ สร้างเงินหมุนเวียนในประเทศกว่า 90% ของการลงทุน ฟื้นภาคประมงไทย “ปานปรีย์” นัดประชุมทูตไทยทั่วโลกสร้างแรงขับเคลื่อนการค้าการลงทุน

– ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยระยะสั้นไม่มีปัญหา แต่ระยะยาวมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง สภาพเศรษฐกิจอ่อนแอ ตลาดแรงงานชัดเจนว่าจะแก่ก่อนรวย รายได้ต่อหัวต่ำเพียง 7,650 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณกว่า 2.83 แสนบาท เทียบประเทศอื่น มาเลเซีย 12,364 ดอลลาร์สหรัฐ เกาหลีใต้ 32,250 ดอลลาร์สหรัฐ และการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน เฉลี่ย 5 ปีสัดส่วนการลงทุนโดยตรง หรือเอฟดีไอ ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แค่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดีสุดในอาเซียนเป็นรองแค่ในสิงคโปร์

– นายกฯ เชื่อนักท่องเที่ยวเข้าใจ หลังเกิดเหตุสุดวิสัย ที่พารากอน จ่อพบเอกอัครราชทูตจีนสร้างความมั่นใจ สั่ง ผบ.ตร.เข้มงวด เห็นด้วยต้องจัดระบบเตือนภัย ขณะที่โซเชียลจีนเดือดแห่แบนเที่ยวไทยหลังเกิดเหตุ ทำเหตุกราดยิงติดเทรนด์อันดับ 2 เวยป๋อ คนอ่านมากกว่า 100 ล้านครั้ง

 

หุ้นเด่นวันนี้

– BGRIM (กรุงศรี) “ซื้อเก็งกำไร” เป้า 32 บาท เก็งกำไรได้ Sentiment บวกราคาน้ำมันดิบร่วงแรง, Bond yield เริ่มย่อตัว ขณะที่ราคาปรับลงสะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปแล้ว Indicator ทางด้านเทคนิคอยู่ในโซนขายมากเกินไป (Oversold)

– RBF (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 12.70 บาท กำไรสุทธิไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 153 ลบ. (+33% YoY, +4% QoQ) เติบโตได้ดีจากยอดขายต่างประเทศโดยเฉพาะยอดขายในส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรมกลุ่มวัตถุแต่งกลิ่นรสและสีผสมอาหาร ส่วนการดำเนินงานช่วงถัดไปนอกจากการเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติใหม่ๆ และการฟื้นตัวของกลุ่ม HoReCa ในประเทศแล้ว คาดปัจจัยขับเคลื่อนจะมาจาก การเพิ่มกำลังผลิตที่ 1.ประเทศอินโดนีเซีย โรงงานเฟส 2 (คาดเดินเครื่องได้ภายใน 3Q66 และเริ่มรับรู้รายได้ในปลายไตรมาสนี้ หรือ 4Q66) และ 2.โรงงานในประเทศอินเดีย (คาดว่าจะเสร็จใน 1Q67) ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 ของ RBF* ที่ 653 ลบ.(+35%YoY) และ 768 ลบ.(+18%YoY)

– AH (ลิเบอเรเตอร์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 45 บาท คาดผลการดำเนินงานปีนี้ และปีหน้ามีแนวโน้มเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรม แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ผสานการย้ายฐานการผลิตรถยนต์เข้าสู่ไทยมากยิ่งขึ้น ขณะที่แนวโน้มราคาวัตถุดิบหลักลดลง ช่วยให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยปัจจุบันเทรดเพียง PE 5.9 เท่า และยังมีอัตราการจ่ายปันผลที่สูงราว 5% ต่อปี

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ต.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top